fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#CityGuide : “Rocket Coffeebar Sukhumvit 49” กินดื่มอย่างมีสไตล์ ในบรรยากาศเรียบหรูที่อบอุ่น กับคาเฟ่สไตล์สแกนดิเนเวียนยอดนิยมของหนุ่มสาวชาวกรุงเทพฯ
date : 5.กุมภาพันธ์.2015 tag :

เชื่อว่าหลายคนจะต้องเคยได้ยินชื่อคาเฟ่เก๋ไก๋นามว่า “Rocket Coffeebar” นี้มาไม่มากก็น้อย เพราะร้านนี้ถือว่าเป็นคาเฟ่ที่ ฮิป คูล และเป็นที่นิยมมากที่สุดร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้ได้เติบโตมาจนถึงสาขาที่ 3 กันแล้ว หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากสาขาแรกที่สาทร ซอย 12 และสาขาที่ 2 ที่ Siwilai บนห้างสรรพิสินค้า Central Embassy ได้ยินชื่อเสียง และเห็นรูปถ่ายสวยๆของร้านนี้ตามหน้าโซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ต่างๆมาหลายครั้งหลายครา แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศของร้านนี้เสียที จนกระทั่งได้รู้มาว่าทางร้านเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่สุขุมวิท ซอย 49 เมื่อไม่นานมานี้ เราเลยรู้สึกว่าคงถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมา Chillax “Rocket Coffeebar S.49” มาฝากชาว Dooddot กัน

null

null

null

ก่อนที่จะลงมือสั่งอาหาร ตอนไปถึงที่ร้าน เราได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับคุณแคลร์ Marketing ของ “Rocket Coffeebar” ถึงแบ็คกราวน์และความน่าสนใจของสาขาใหม่นี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุณแคลร์เล่าว่า Rocket คือคาเฟ่สไตล์นอร์ดิก หรือสแกนดิเนเวียน  ของหุ้นส่วนชาวสวีเดนทั้ง 4 คนได้แก่ Ben, David และ Dannie Sorum และ Thomas Anostam ที่มีความหลงใหลในการทำอาหารและรสชาติของกาแฟ แถมยังมีแบ็คกราวน์ทางด้าน mixology หรือศาสตร์ในการผสมเครื่องดื่ม เมื่อมีโอกาสมาอยู่เมืองไทยได้หลายปี เลยได้รวมตัวกันเปิดคาเฟ่ที่เรียบง่าย และอบอุ่นสไตล์นอร์ดิก ที่พร้อมมอบประสบการณ์การกิน ดื่ม สบายๆ ในระดับที่มีคุณภาพอย่างดีให้แก่คุณ ซึ่งที่สาขาสุขุมวิท 49 นี้ เพิ่งเปิดมาได้เพียงไม่กี่เดือนเทานั้น เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วนี้เอง

null

null

ตอนเปิดประตูเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่สะดุดตาเรามากที่สุดคือโซนที่เป็นบาร์ยาวตรงชั้นล่าง และการตกแต่งร้านที่ดูเรียบง่าย ดูสบายตา แต่แฝงไว้ด้วยความคลีน ที่ดูเรียบ แต่หรู และดู sophisticated มากๆ เรียกได้ว่าพื้นที่ทุกส่วนของร้านนี้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเรียบง่ายแบบสวีเดนไว้ทุกอณู ที่สาขานี้จะมีสองชั้น ชั้นล่างจะมีโซนโต๊ะไม้ยาวอยู่สองโต๊ะตรงกลางร้าน และโซนโต๊ะเล็กๆริมผนังกระจก ส่วนโซนที่เป็นจุดขายของร้านนี้ก็คือโซนบาร์ยาว ที่ตัวเคาน์เตอร์ทำจากกระเบื้องหินอ่อนสีขาว ข้างหลังมีชั้นวางของที่เป็นสินค้าของทางร้านวางขายอยู่ อาทิพวกเมล็ดกาแฟ ขนมจากธันพืช ไวน์ และหมวกแก๊ป และเครื่องครัวต่างๆที่พนักงานต้องใช้ในการชงเครื่องดื่ม ส่วนด้านหน้าก็จะมีม้านั่งอยู่ประมาณ 3-4 ตัว มีจานขนมเบเกอรี่ต่างๆให้ลูกค้าสามารถเดินเลือกซื้อได้ตามใจชอบ และยังไม่วายมีกิมมิคการตกแต่งเก๋ๆให้พวกเราได้ถ่ายรูปสวยๆอวดเพื่อนๆบนอินสตาแกรมอีกนั่นก็คือ บริเวณส่วนที่เป็นพื้นของด้านหน้าบาร์ มีการใช้กระเบื้องหินอ่อนหกเหลี่ยมสีเทาขาว ตัดกับไม้สีเข้ม มีกระถางต้นกระบองเพชรวางเรียงกันอย่างเก๋ไก๋ คือเอาเป็นว่าใครที่มาร้านนี้แล้วเห็นโซนบาร์ เชื่อว่าต้องกรี๊ดทุกราย เพราะเขาจัดตกแต่งได้สวยและมีเทสต์มากจริงๆ เห็นแล้วช่างเป็นมุมครัวที่เราทุกคนฝันอยากจะมีไว้ที่บ้าน ส่วนชั้นบนก็ถือว่าไม่มีอะไรมาก พื้นที่ค่อนข้างเล็ก มีเก้าอี้โซฟาให้นั่ง เป็นโซนที่ดูมีความเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย เชื่อว่าถ้าใครอยากจะมานั่งซึมซับบรรยากาศชิลล์ๆ มองการตกแต่งเก๋ๆของร้านนี้ น่าจะชอบนั่งตรงชั้นล่างมากกว่า

null

null

null

null

คราวนี้ก็มาต่อกันที่เมนูอาหารของที่นี่กันเลยดีกว่า ที่พอเปิดเมนูกางออกมาปุ๊ป ก็จะเห็นว่าทางร้านได้แบ่งสไตล์ของอาหารและเครื่องดื่มออกเป็นหมวดหมู่อย่างหลากหลายน่าสนใจมากๆ  อาทิ  “Egg Dishes” ที่รวบรวมเมนูไข่ต่างๆ “Grains, Fruits, & Berries” ที่รวบรวมเมนูอย่างสลัด หรือพอร์ริดจ์ (porridge) ที่มีส่วนผสมของผลไม้สดและเมล็ดพืช “Breakfast Bites” สำหรับเมนูอาหารเช้าทานเบาๆ และ “Nordic Lights” ที่รวมเมนูอาหารสไตล์นอร์ดิก หรือสไตล์สแกนดิเนเวียนเอาไว้ ส่วนเมนูเครื่องดื่มก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กันเลย มีให้เลือกตั้งแต่กาแฟเอสเพรสโซ่ต่างๆ ชาร้อน ชาเย็น เบียร์ ไซเดอร์ ไปจนถึงเครื่องดื่มผลไม้ที่เป็นแบบสมูทตี้และแบบผสมโซดา และที่น่าสนใจมากๆเลยคือเมนูค็อกเทลที่แบ่งออกเป็นสำหรับดื่มตอน daytime และ nighttime นี่ยังไม่รวมพวกขนมหวาน หรือเบเกอรี่อบสดใหม่ ซึ่งอาหารทุกจานของที่นี่ ทางทีมเชฟจะเป็นคนทำและเตรียมวัตถุดิบเองทั้งหมด โดยวัตถุดิบที่ใช้จะเป็นแบบออร์แกนิค รับประกันความสดใหม่และความเฮล์ทตี้ในทุกจาน ส่วนเมนูที่เราได้ลิ้มลองมาแล้วได้แก่ “Swedish Meatballs” (330 บาท) หนึ่งในจานของ “Nordic Lights” ที่เป็นที่นิยมทานกันของชาวสวีเดนในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว มีส่วนผสมของเนื้อหมูและเนื้อวัวบด เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งบด แตงกวาดอง ซอสหวานจากลินกอนเบอร์รี่ (lingonberry) และซอสเกรวี่  จานนี้เรียกได้ว่ารสชาติทุกอย่างอร่อยกลมกล่อมไปหมด เนื้อของมีทบอลนั้นแน่นไม่ร่วน มันฝรั่งบดก็มีเนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ส่วนความหวานปะแล่มของซอสลินกอนเบอร์รี่ และความเปรี้ยวนิดๆของแตงกวาดองก็ช่วยตัดรสชาติของความเป็นเนื้อของมีทบอลและน้ำเกรวี่ได้กำลังดี เป็นจานที่ทานแล้วรู้สึกสดชื่นไม่หนักเกินไป ทานสบายๆแบบอิ่มกำลังดีเลย ทานมื้อหนักกันไปแล้ว คราวนี้ก็มาต่อด้วยเมนูของหวานกับ “Velvet Red” (240 บาท) ที่มีส่วนผสมของแอปเปิ้ลและจัสมินครีม แอปเปิ้ลสดและแอปเปิ้ลโพ้ชในน้ำบีตรูต ไอศกรีมซอร์เบท์บีตรูต และเกล็ดก้อนขนมปังข้าวไรย์และโกโก้ทูเลย์ (cocoa tuile) โอ้! แค่อ่านส่วนผสมของจานนี้ก็รู้สึกว่าต้องเป็นจานที่วิลิศมาหรา ไม่ธรรมดาแน่ๆ และเราก็คิดไม่ผิดจริงๆ พอพนักงานนำจานนี้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เราเห็นแล้วแทบไม่อยากจะไปแตะต้องอะไรมันเลย เพราะจานนี้ถูกพรีเซ้นต์ได้ออกมาสวยงาม ดู sophisticated มากๆ ราวกับเป็นงานศิลปะยังไงยังงั้น ส่วนเรื่องรสชาติก็ถือเป็นจานของหวานที่ทานแล้วรู้สึกสดชื่นเบาๆ ชอบตัวก้อนครีมเป็นพิเศษที่มีเนื้อนิ่ม และหอมกลิ่นจัสมินจางๆเวลาตักเข้าปาก เสร็จแล้วตบท้ายด้วยเครื่องดื่มอย่าง “Sangria” (295 บาท) หรือไวน์พั้นช์ที่มีส่วนผสมของไวน์แดง เหล้า blanco แอปเปิ้ล เลม่อน ส้ม และอบเชย ดื่มแล้วรู้สึกเย็นสดชื่นถึงใจ มีรสชาติของความหวานปนเปรี้ยวนิดๆกำลังดี เป็นแก้วที่ทำให้รู้สึกคลายร้อนได้สบายๆเลย

null

null

null

null

null

สิ่งที่เราประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับ Rocket สาขานี้ก็คือ แน่นอนล่ะว่าระดับการตกแต่งร้านนั้นหายห่วง ขึ้นชื่อว่าเป็นคาเฟ่สไตล์นอร์ดิก สแกนดิเนเวียนเสียอย่าง ความมีเทสต์ในการตกแต่งร้านนั้นต้องไม่ทำให้ลูกค้าผิดหวังอยู่แล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือ อาหารของที่นี่เขามีความเป็นเวิร์ลดคลาส เชฟแต่ละคนที่มารังสรรค์เมนูอาหารต่างๆของที่นี่ต่างเคยผ่านประสบการณ์ทั้งจากโรงแรม และร้านอาหารระดับมิชลินมาแล้วมากมาย แม้แต่เชฟทำขนมของที่นี่ ก็ต้องเป็นเพสตรี้เชฟโดยเฉพาะ ดังนั้นตั้งแต่การพรีเซ้นต์บนจาน ไปจนถึงเรื่องรสชาติ เราสัมผัสได้เลยว่าที่นี่เขามีความพิถีพิถัน เอาใจใส่ในทุกๆรายละเอียดของอาหารเขาจริงๆ เราเลยกล้าพูดได้ว่า Rocket นั้นมีดีมากกว่าแค่คาเฟ่ที่มีการตกแต่งสวยแบบฮิป คูล ที่พวกเราเห็นกันจนชินตาอยู่ทั่วกรุงเทพฯ แต่ถ้าคุณมาที่นี่ คุณสามารถสั่งอาหาร และเครื่องดื่มในระดับเกรดสูง มีคุณภาพ ได้ในราคาที่ยังเอื้อมถึงได้ วันไหนที่คุณอยากมีกินเลี้ยงพิเศษ สังสรรค์กับแก๊งเพื่อนๆ หรืออยากจะมานั่งทานบรั้นช์ในวันชิลล์ๆสักวัน เราเชื่อว่าถ้าคุณมาที่ร้านนี้ คุณจะกลับบ้านอย่างแฮปปี้แน่นอน

ต้องคอยดูว่าความเคลื่อนไหวต่อไปของ “Rocket Coffeebar” จะเป็นอย่างไร ซึ่งเราได้แอบถามคุณแคลร์มาแล้วล่ะ เธอบอกว่าในอนาคตอันใกล้นี้พวกเราอาจเห็น Rocket ในสไตล์ที่เป็นร้านมุมเล็กๆ ที่จำหน่ายเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มแบบ takeaway กลับบ้าน ฟังแล้วดูน่าสนใจไม่เบา แฟนๆของ Rocket รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวดีๆล่ะ!

ตั้งอยู่ที่: โครงการพิมาน 49, ซอยสุขุมวิท 49 (BTS ทองหล่อ หรือ BTS พร้อมพงษ์)
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา: 07:00 น. – 23:00 น.
Tel: 02 6626 638
Facebook: https://www.facebook.com/RocketCoffeebar
Website: http://www.rocketcoffeebar.com/

Writer: Thip S. Selley
Photographer: Pakkawat Tanghom

RECOMMENDED CONTENT

31.สิงหาคม.2017

ผ่านไปแล้วหมาดๆ กับรอบ Wolrd Premeire ใน section 'Venice Days' ของเทศกาล Venice Film Festival กับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับ เป็นเอก รัตนเรือง – 'Samui Song – ไม่มีสมุยสำหรับเธอ' หลังจากห่างหายงานกำกับภาพยนตร์ไปอย่างยาวนาน