ตอนนี้ผมกำลังอยู่บนเครื่องบินและรู้สึกว่าก่อนที่ผมจะเขียนเกี่ยวกับ New York Panorama ผมอยากจะเขียนช่วงเวลาก่อนหน้าอีกซักนิดหน่อย 😀 (ทำความรู้จักกับชินได้ที่ Click) ตอนนี้ข้างๆ ผมคือ ตา “กัญฐิตา โกมลพันธุ์” ผู้ชนะโครงการ SangSom Road to Carnegie Hall และก็เป็นผู้ร่วมเดินทางกับผมในการผจญภัยครั้งนี้ เธอกำลังนอนหลับอย่างสบาย ผมจึงถือโอกาสใช้เวลาที่ว่างอยู่นำโน้ตบุ๊คคู่ใจของผมเขียนเรื่องราวซะเลย (เอาจริงๆคือนอนไม่ค่อยหลับ)
ทันใดนั้นเองผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า “เอ้ย” ผมเล่าข้ามช็อตไปนี่หน่า ย้อนกลับไปที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลาเช้าๆ พ่อแม่ผมมาส่งและร่ำลาเสมือนกับผมจะไปเป็นเดือนแต่ผมก็เข้าใจแหละ แต่อันที่จริงแล้วต่อมความตื่นเต้นของผมมันคงมีไว้ใช้บนเวทีการแสดงเท่านั้น
พวกเราขึ้นเครื่องเวลา 12.40 น.ตามเวลาประเทศไทย เพื่อที่จะไปยังท่าอากาศยานไต้หวันเพื่อเปลี่ยนเครื่องไปยังนิวยอร์ก ช่วงเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไปค่อนข้างไว ผมนั่งคุยกับตาไปเรื่อยเปื่อยสลับกับนอนหลับเป็นช่วงๆ(ซึ่งผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี) คือก่อนมาผมนอนหลับที่บ้านได้เป็นอย่างดีนะ แต่บนเครื่องนี้มันหลับยากจริงๆ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงขนงานมาทำบนเครื่องด้วย
คราวนี้เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ถ้าถามความรู้สึกในการเดินทางของผมในวันแรกนั้นซึ่งก็คือความรู้สึกที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ ผมรู้สึกว่าผมจะได้ไปเที่ยวอย่างจริงๆจังๆ ครั้งแรกในชีวิตกับเพื่อนก็ว่าได้ ซึ่งในขณะที่ทุกคนรวมทั้งตากำลังนอนหลับ ทั้งเครื่องก็คงเหลือผมคนเดียวอยู่ใน mode เคลียร์งาน ซึ่งระหว่างที่อยู่บนเครื่องผมก็นั่งเขียนบทความบรรยายอันนี้แหละ รวมถึงผมก็นั่งพิมพ์บทความอื่นๆอย่างล้นหลาม นั่งเรียบเรียงเพลงที่คั่งค้างไว้นานแสนนาน รอเวลาอีก 10 ชั่วโมงเพื่อรอเวลาที่เครื่องจะ Landing เข้าสู่ท่าอากาศยานที่นิวยอร์ก และเมื่อเวลานั้นมาถึง ผมไปที่เมนูไฟล์ บันทึกและพับจอโน้ตบุ๊คของผมลงทันที
เครื่องลงจอดอย่างไม่ค่อยนิ่มนวลเท่าไหร่ ความรู้สึกแรกคือ “เราจะได้เดินซักที” การนั่งอยู่เฉยๆ 14 ชั่วโมงเป็นอะไรที่สุดจริง (เมื่อยสุด) ผมหยิบกระบี่คู่ใจ “กีตาร์” ของผมเดินลงไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทาง ความรู้สึกแรกที่เราออกจากประตูเครื่องบินอะไรที่แปลกใจ “มันไม่เห็นหนาวเลยหนิ” ผมคิดใจเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ต้องรอคิวยาวกว่า 2 ชั่วโมง ผมได้แต่เพียงยืนรอ ดูทีวีแนะนำการตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินและคุยกับเพื่อนร่วมทางของผมสลับกันไป ทันใดนั้นเองคิวพวกเราก็มาถึง ในขณะที่ตาเดินไปเป็นคนแรกพบกับคำถามมากมาย แต่ผมถูกถามเพียงแค่ว่า “คุณมาด้วยกันใช่มั้ย?” พนักงานตรวจคนเข้าเมืองคนนั้นค่อนข้างอารมณ์ดี พวกเขาแซวเล่นกันข้ามเคาท์เตอร์อย่างยิ้มแย้ม เหมือนเค้ากำลังเล่นทายกันว่าคนต่อไปจะมาจากประเทศอะไร? ซึ่งพวกเขาทายว่าผมมาจากญี่ปุ่น และที่สำคัญตั้งแต่บนเครื่องจนถึงมาที่นี่ทุกๆ คนที่เข้ามาคุยกับผมทักทายผมเป็นภาษาจีนกันหมดเลย!
การตรวจคนเข้าเมืองเสร็จสิ้นไปอย่างเรียบร้อยดี ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสบรรยาการภายนอกอาคารผู้โดยสารเป็นอะไรที่สดชื่นมาก อากาศหนาวกำลังดี มีรถมารับและระหว่างที่รถขับผ่านก็ให้ความรู้สึกเหมือนกรุงเทพอยู่ในบางมุม นิวยอร์กเป็นเมืองที่ดูเหมือนจะไม่เคยหยุดพัก เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน เสียงแตรรถที่บีบ บีบและบีบอย่างไม่ขาดสาย ให้ความรู้สึกแบบเมืองจีนนิดๆ ผมนั่งฟังพี่ๆ ทีมงานแสงโสมอธิบายถึงสถานที่ต่างๆ คือยูนีคสำหรับผมมาก เอาหล่ะครับการผจญภัยแบบ Money can’t buy experience ในนิวยอร์กครั้งแรกในชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น !!!
พวกเราเช็คอินที่โรงแรม Holiday Inn Express ผมได้ห้องเบอร์ 708 โดยค่ำคืนแรกให้ความรู้สึกปนความเหงานิดๆ แล้วก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมนอนหลับไปอย่างไม่รู้ตัวและตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอน 6 โมงเช้า สิ่งแรกที่ผมทำคือหยิบกีตาร์ขึ้นมาบรรเลงตอนรับเช้าวันใหม่เสมือนกับยังละทิ้งหน้าที่นักดนตรีไม่ได้ทั้งๆ ที่มาเที่ยว ผมหยิบกีตาร์มานั่งไล่ Scale อยู่ชั่วโมงกว่าและจึงลงไปทานอาหารเช้าที่ชั้นล่างของโรงแรม ความรู้สึกแรกของอาหารเช้าคือ มันเต็มไปด้วยขนมปัง! เช้าวันแรกในนิวยอร์กของผมเป็นไปอย่างเรียบง่ายและธรรมดา ยังไม่มีสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ หรืออาจจะมีแรงบันดาลใจแต่ไม่ได้มากพอที่จะผลักดันคนอย่างผมได้ แรงบันดาลใจของผมจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ !
SangSom
Website: http://www.thesangsom.com/
Facebook: https://www.facebook.com/sangsomexperience
Photographer: Pakawat Hongcharoen
IG : @pakawatboom
RECOMMENDED CONTENT
ภาพหายากที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อ Harrison Ford หลุดขำ กลางรายการให้สัมภาษณ์รายการทีวีของอังกฤษ This Morning เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา #BladeRunner2049