บางคนบอกว่าสิ่งแรกที่สายตาคนเราจะมองบนอีกคนคือรองเท้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ผม’ ก็เป็นสิ่งที่คนเราให้ความสนใจเป็นอย่างมากในเพศตรงข้ามเหมือนกัน ลองคิดดูสิ เวลาจะพูดคุยกับใคร คุณก็ต้องมองใบหน้าเขาก่อนใช่ไหมล่ะ จากใบหน้าปุ๊ป ก็เหลือบมองไปที่ทรงผม ซึ่งไอ้ทรงผมนี่แหละคือตัวชี้วัดเลยว่า คนๆนั้นดูหล่อ ดูเท่ หรือไม่ ถ้าทรงผมคุณไม่ผ่านนี่จบเลยนะคร้าบ ต่อให้คุณแต่งองค์ทรงเครื่องมาดิบดีขนาดไหน แต่ถ้าคุณปล่อยให้ทรงผมยาวรุงรัง หรือดันมีทรงผมที่ไม่เข้ากับใบหน้าเสียเลย ความหล่อของคุณก็จะลดลงไปอีกมากโขเลยล่ะ
เกริ่นมาขนาดนี้ แน่นอนว่าวันนี้เราจะมาพูดเรื่องทรงผมของคุณผู้ชายกัน โดยเราจะมาดูกันว่าทรงผมคลาสสิคแบบ gentleman ทรงไหนที่ตัดแล้วไม่มีทางพลาด และไม่มีวันตกยุคสมัยแน่นอน ซึ่งเราได้รวบรวมมาทั้งหมด 8 ทรงดังต่อไปนี้
1. The Textured Cut With Fringe
ก่อนอื่นเลย ทรงผมทรงนี้เหมาะสำหรับหนุ่มๆที่มีผมค่อนข้างยาวทางด้านหน้า ส่วนการจะได้เท็กเจอร์สวยๆนั้น อย่างน้อยผมของคุณควรมีความหนา เพื่อที่เวลาตัดช่างเขาจะได้เล่นกับเลเยอร์ผมของคุณได้เต็มที่ หรือถ้าหนุ่มคนไหนมีเส้นผมแบบ cow licks (ปอยผมที่ชอบยื่นออกทิศทางต่างจากผมส่วนอื่น) ตัดทรงนี้ก็เหมาะ เพราะการสร้างเท็กเจอร์ให้กับผมทรงนี้ จะช่วยทำให้ปอยผมที่ชอบชี้ไปทางอื่นของคุณไปในทิศทางเดียวกับผมส่วนอื่นๆ แนะนำว่าถ้าคุณอยากจะตัดทรงนี้จริงๆ ควรหาแบบผมที่ถูกใจไปให้ช่างดูที่ร้านเลย ส่วนหนุ่มที่มีผมบาง สไตล์ของทรงนี้ไม่น่าจะเหมาะกับคุณเท่าไหร่
Styling tips: จัดแต่งทรงผมด้วย clay แต่งผมตอนผมแห้ง ขยำๆด้วยปลายนิ้วนิดหน่อย ทรงนี้ไม่จำเป็นต้องเนี๊ยบมาก ยิ่งได้ลุคแบบ carefree ยุ่งๆหน่อยจะดูดีกว่า
2. The French Crop
ทรงนี้เข้ากับรูปหน้าส่วนใหญ่ของหนุ่มๆ และเหมาะสำหรับคนที่ผมเริ่มบางส่วนบน เพราะผมทรงนี้จะมีส่วนที่เป็นหน้าม้าสั้นตรงข้างหน้า ซึ่งสามารถช่วยปกปิดไรผมที่เริ่มเถิกขึ้น ทรงผมทรงนี้เป็นทรงที่ดูแลง่าย สบายหัว เหมาะกับหนุ่มๆที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเล่นกีฬา หรือเข้ายิมเป็นประจำ
Styling tips: จริงๆทรงนี้ไม่ต้องจัดแต่งอะไรเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากจัดทรงให้มันดูเนี๊ยบขึ้น ลองใช้สเปรย์ฉีดผมนิดหน่อยพอ เพราะทรงนี้จะดูดีสุดก็ต่อเมื่อคุณปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมันเอง และถ้าอยากไว้ทรงนี้ไปเรื่อยๆ แนะนำว่าควรไปเล็มผมอย่างน้อยทุกๆ 3-4 อาทิตย์
3. The Buzz Cut
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งทรงผมที่ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังคงได้รับความนิยมจากหนุ่มๆไม่เสื่อมคลาย แต่ถ้าอยากตัดออกมาให้ดูสวยจริงๆ อันนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าหัวคุณทุยสวยพอหรือเปล่า (ให้ลองนึกถึง Ryan Gosling หรือ Christian Bale เป็นต้น) ยิ่งถ้าคุณเป็นคนมีโหนกแก้ม มีกราม ออกเหลี่ยมนิดๆ ตัดทรงนี้แล้วคุณจะดูหล่อ แมน ขึ้นทันที
Styling tips: ส่วนหนุ่มๆที่หัวไม่ค่อยทุยได้รูป หรือเป็นหนุ่มหน้ากลม อย่าเพิ่งน้อยใจ เพราะคุณก็สามารถตัดทรงนี้ได้ เพียงแต่ต้องเพิ่มความคมชัดของเส้นตัดด้านข้าง และความยาวของผมส่วนบนมากขึ้นอีกหน่อย ซึ่งถ้าจะให้ดีคุณควรพูดคุยกับช่างให้รู้เรื่องไปเลย ช่างเขาจะได้รู้ว่าคุณต้องการอะไร และสามารถกลบจุดด้อยของคุณได้ถูกที่ถูกทาง
4. The Slick Back
ทรงผม slick back หรือทรงผมหวีเสยนั้นเป็นทรงผมสไตล์ฮิตของผู้ชายตั้งแต่ยุค 1920s เพราะในสมัยนั้นผู้ชายทุกคนเวลาออกจากบ้านต้องใส่หมวก และทรงผมที่สามารถอยู่ทรงได้ตลอดทั้งวันก็คือทรง slick back นี้เอง ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา ทรงผมทรงนี้ก็ถือเป็นทรงสุดคลาสสิคของสุภาพบุรุษทุกคนจนถึงปัจจุบัน ทรง slick back นั้นเหมาะสำหรับหนุ่มๆที่มีเส้นผมตรง ไม่หยิก หรือหยักศก เพราะจะยิ่งทำให้ยากต่อการจัดทรง ส่วนข้อดีสำหรับผมทรงนี้ก็คือเข้ากับทุกรูปหน้า แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่สำหรับคนที่หัวเริ่มเถิก เพราะจะยิ่งทำให้ความเถิกดูเห็นชัดเข้าไปใหญ่
Styling tips: จัดทรงด้วยการเป่าผมไปด้านหลัง เสร็จแล้วใช้น้ำมันใส่ผม และหวีเสยขึ้นตอนผมกำลังชื้น สำหรับลุคที่ดูเนี๊ยบเป็นทางการ แต่ถ้าอยากได้ลุคที่ซอฟต์ เป็นธรรมชาติลงมาหน่อย จะใช้ paste แต่งผมก็ได้ เพราะลักษณะของผลิตภัณฑ์แต่งผมชนิดนี้จะมีน้ำมันน้อย และทำให้ผมเกาะตัวดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเจล
5. The Side Parting
ทรงนี้ฮิตอินเทรนด์สุดๆในช่วงปี 1920s-1940s และอีกครั้งในช่วงปี 1960s ซึ่งถือเป็นอีกทรงที่ทำเมื่อไหร่ก็คลาสสิค ไม่มีเอ้าท์ อีกทั้งยังทำง่ายกว่าทรง slick back ด้วย เหมาะสำหรับเส้นผมเกือบทุกประเภท รวมถึงรูปหน้า แต่ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมทรงนี้คือทรงที่อยากจะหวีเป๋ ปกปิดหัวเหม่ง ก็ทำนะ เพราะมันก็ยังต้องมีเทคนิคในการตัดของมันอยู่ ซึ่งควรให้ช่างตัดผมเป็นคนดูแลในเรื่องนี้ บอกช่างว่าอยากได้ทรงหวีเป๋แบบ classic cut และผมส่วนบนก็ควรยาวพอที่จะหวีเป๋ได้ แต่ก็ควรสั้นพอที่หวีแล้วดูเรียบร้อยเป็นระเบียบ
Styling tips: ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่จะใช้ ควรขึ้นอยู่กับลักษณะเส้นผมของคุณ ถ้าคุณเป็นคนผมหนา ควรใช้ paste แต่งผม ส่วนพวก clay แต่งผม จะเหมาะกับผมเส้นเล็ก หรือผมที่เริ่มบางมากกว่า และเวลาจะจัดผม ให้หวีตอนผมชื้น (ไม่ใช่ผมเปียกนะ) จะดีที่สุด
6. The Shoulder Length Cut
ใช่ว่าทรงผมคลาสสิคจะมีแต่สไตล์ผมสั้นเท่านั้น เพราะการไว้ผมยาวสำหรับผู้ชายก็ถือเป็นที่สุดของอีกหนึ่งทรงผมเหมือนกัน จะผมตรง ผมหยักศก ผมหยิก ไว้ได้หมด แต่เพื่อไม่ให้ดูเซอร์ กระเซอกระเซิงจนเกินไป แนะนำว่าควรไปเล็ม ไปซอย ให้ผมดูเข้าทรงที่ร้านจะดีกว่าปล่อยไว้ยาวไปเรื่อยๆ อยากได้ผมยาวแบบไหน สไตล์ไหน ก็สามารถคุยกับช่างเขาได้เลย ทีนี้คุณก็จะดูเป็นหนุ่มเท่สมใจ
Styling tips: จริงๆทรงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมอะไรทั้งนั้น เพราะผมยาวจะดูดีสุดก็ตอนที่คุณปล่อยให้มันสยายเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าอยากจะเพิ่มความเซอร์ จะใช้พวก salt spray ฉีดผมนิดหน่อยก็ได้ เพื่อให้ได้เท็กเจอร์เหมือนเวลาไปเที่ยวทะเล
7. The Pompadour
ถ้าจะให้พูดถึงทรงผมที่คลาสสิคของจริง ต้องมีทรง pompadour (ปอมปาดัวร์) อยู่ในลิสต์ เพราะผมทรงนี้มีประวัติมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นู่นเลย ซึ่งจริงๆแต่ก่อนนั้นทรงผมทรงนี้เป็นทรงผมสำหรับผู้หญิงชนชั้นสูง ที่ต้องเอาผมทั้งหมดเกล้าขึ้นบนหัว เพื่อให้ดูดรามาติกมากขึ้น แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนผ่านมาเป็นร้อยๆปี ทรงผมทรงนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นทรงผมที่ผู้ชายก็สามารถไว้ได้อย่างที่เห็น
ทรง pompadour นั้นเหมาะกับเกือบๆทุกเส้นผม แต่จะเวิร์คสุดก็สำหรับคนที่มีผมหนา เพราะทรงนี้ต้องมีการ support อยู่ทรงประมาณนึงหลังจากที่จัดแต่งผมเรียบร้อย หนุ่มๆคนไหนที่อยากลองทำผมทรงนี้ดู ก่อนอื่นเลยคุณควรไว้ผมส่วนหน้าให้ยาวอย่างน้อย 3 นิ้ว เพื่อที่จะหวีเสยขึ้นไปได้ และยาวพอที่จะทำการม้วน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทรงผมสำหรับหนุ่มๆที่ชื่นชอบการเซตผมให้ดูเท่แบบติดกลิ่นอายวินเทจคลาสสิคหน่อยๆ
Styling tips: แน่นอนว่าจุดเด่นของทรงผม Pompadour อยู่ที่วิธีในการเซต ซึ่งจะต้องใช้ Wax หรือ Pomade เป็นตัวช่วย เริ่มจากการใช้หวี (แนะนำว่าควรเป็นหวีที่แซกแบบถี่ๆ) ปาดผมขึ้นไปด้านบน แต่ไม่ต้องให้ถึงกับเรียบสนิท ให้พอพองๆออกมามีวอล์ลุ่มของเส้นผม เสร็จแล้วใช้ไดร์เป่าผมช่วย และลง wax หรือ pomade ซํ้าอีกครั้ง เพื่อเพิ่มความคงทนของเส้นผม โดยในระหว่างที่หวีเซตนั้น ควรใช้มืออีกข้างหนึ่งพยายามโปะๆผมด้านบนให้เป็นทรงนูนๆขึ้นมา สำหรับมือใหม่หัดทำ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ แต่พอทำไปนานๆ รับลองว่าหลับตาทำยังได้ แป๊ปเดียวเสร็จ หล่อสมใจ
8. The Quiff
ทรงนี้จะคล้ายๆกับทรงปอมปาดัวร์ แต่ไม่สูงหรือตีโป่งเท่า เป็นอีกหนึ่งทรงผมไอคอนิคที่เหมาะสำหรับหนุ่มวัยรุ่น ไปจนถึงหนุ่มใหญ่ และที่สำคัญคือเหมาะกับทุกรูปหน้า แต่สำหรับหนุ่มที่หัวข้างหน้าเริ่มเถิก อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงทรงนี้ (เช่นเดียวกับปอมปาดัวร์) เพราะมันจะยิ่งทำให้ความเถิกดูเด่นชัดเข้าไปใหญ่
ก่อนที่จะทำทรงนี้ หนุ่มๆควรศึกษาก่อนว่าตัวเองชอบสไตล์แบบคลาสสิค หรือแบบ contemporary ทันสมัย และดูว่าทรงไหนเหมาะกับคุณ (ควรปรึกษาช่างตัดผมด้วย) ทรงคลาสสิคควิฟจะมีความซอฟท์ของผมส่วนหลังและด้านข้างที่ตัดสั้น ไม่ดูคอนทราสต์คมชัด เมื่อเทียบกับทรงควิฟแบบสมัยใหม่ ที่จะมีความดรามาติกที่แตกต่างมากกว่าระหว่างส่วนผมที่ยาวออกมาช่วงบน และส่วนผมที่ตัดสั้นทางด้านหลังและด้านข้าง ซึ่งแบบสมัยใหม่จะมีเส้นผมที่คมชัด ดูมีการดีไซน์มากกว่าทรงคลาสสิคที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่านั่นเอง
Styling tips: ใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมแบบเปียกขยำๆให้ทั่วหัว เพื่อให้ได้ผมที่ชุ่มชื้น เปียกหมาดๆ แล้วหวีผมก่อนรอบนึง หลังจากนั้นให้เป่าผม โดยตั้งความร้อนไว้ที่ระดับสูงสุด ในความเร็วระดับ 1 (ระดับช้าสุด) แล้วค่อยๆหวีผมไปทางด้านข้าง เซ็ตผมให้มีความนูนขึ้นเล็กน้อยตามเชปที่ต้องการ ปิดท้ายด้วยการฉีดสเปรย์ให้ผมอยู่ทรงไปตลอดทั้งวัน
Writer: Thip S. Selley
Credit: Fashionbeans
RECOMMENDED CONTENT
ย้อนรอยสู่จุดกำเนิดแห่งดนตรีเทคโนกับผลงาน Black to Techno โดยผู้กำกับฯ หญิงชาวอังกฤษ - ไนจีเรียน Jenn Nkiru ผู้จะพาเราไปสัมผัสวัฒนธรรมดนตรีเทคโนจากจุดกำเนิดที่เมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา จากดนตรีกระแสรองสู่ความนิยมสุดขีดช่วงปลายยุค 1980s นำไปสู่ดนตรีที่สะท้อนต่อสู้เพื่อบทบาทในสังคมและเสรีภาพของกลุ่มคนผิวสีในดีทรอยท์