เราเชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านคอลัมน์นี้ มีความเป็นสิงห์นักดื่มมากพอสมควร ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตามบาร์ ตามไอริชผับต่างๆในกรุงเทพบ้านเรา รวมถึงร้านอาหารของบรรดาเชฟชื่อดัง เริ่มมีคนนำเบียร์ยี่ห้อดังจากเมืองนอกทั่วทุกมุมโลกเข้ามาขายกัน คงไม่ต้องถามว่าคนอ่านของเราลองยี่ห้อไหนมาบ้างแล้ว เผื่อว่าใครที่เคยชิมแล้วแต่ยังไม่รู้จักกันดี รู้หน้าไม่รู้ใจ วันนี้เรามีลิสต์แนะนำประวัติคร่าวๆของแต่ละเบียร์รวบรวมมาให้ทุกคนได้อ่านกัน
Guinness
เบียร์ดำสำหรับสุภาพบุรษสายแข็งที่ใครได้ลองเป็นต้องก้มหัวให้ รสชาติแบบ Strong Body ที่แบบนี้ล่ะเป็นรสที่ถึงจะเรียกว่ารุ่นใหญ่ รุ่นใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์เบียร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วยี่ห้อหนึ่งในโลกนี้ ต้นตำรับตั้งอยู่ที่ Dublin ในประเทศไอร์แลนด์ เริ่มเปิดตัวในปี 1759 ในมุมคนไทยจริงอยู่ที่อาจจะไม่ค่อยถูกปากกับเบียร์ดำนัก แต่ถ้าใครที่อยากเป็นสิงห์เบียร์แต่ยังไม่เคยโดน Guiness ถือว่าการทำเควสของคุณยังไม่สมบูรณ์นะแจ๊ะ
Paulaner
เบียร์ขึ้นชื่อจากเมือง Munich เยอรมัน ที่เราเชื่อว่านักดื่มหลายคนคงคุ้นกับโลโก้ของยี่ห้อนี้ดี เป็นเบียร์ที่ชาวเยอรมันชื่นชอบและภูมิใจนำเสนอ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1634 เป็นหนึ่งในหกเบียร์ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตเบียร์ให้กับงาน Oktoberfest งานดื่มเบียร์ประจำปีของเยอรมัน ที่จัดกันเป็นประจำมาตั้งแต่ปี 1810 ใครที่เคยดูภาพข่าว หรือสารคดี เป็นสาวๆและลุงๆพุงป่อง ใส่กางเกงลายสก๊อตเขียว พร้อมสายเอี๊ยมรัด นั่นล่ะ ใช่เลย! จุดเด่นของเบียร์ Paulaner คือความหอมของวัตถุดิบท่ีได้จากขั้นตอนการผลิตไม่เหมือนใคร ยิ่งตัว ขึ้นชื่อของพวกเขา “Paulaner Hefeweissbier Dunkel” เบียร์สีน้ำตาล ที่ต้องเขย่าขวดสักเล็กน้อยให้ส่วนผสมเข้ากัน เป็นรสชาติและกลิ่นสัมผัสที่ไม่รู้ลืม มิน่าล่ะเยอรมันถึงได้แชมป์บอลโลกปีนี้
Hoegaarden
ถ้าจะให้เปรียบนี่คงจะเป็นเหมือนไข่มุกจากประเทศเบลเยี่ยม เบียร์ขาวที่ไม่ว่าใครได้ลองเป็นต้องหลงใหล กับรสชาตินุ่มลื่นคอและกลิ่นสัมผัสหอมผลไม้แบบเป็นมิตรที่โดดเด่นเตะจมูก เพราะเคล็ดลับคือมี “เปลือกส้ม” เป็นหนึ่งในส่วนผสมรวมอยู่กับน้ำแร่บริสุทธิ์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ตด้วย มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 4.9& ถือว่ากลางๆสำหรับเบียร์จากยุโรป จัดเป็นเบียร์ที่กินได้ง่าย ต่อให้คนไม่ชอบกินเบียร์ หรือแม้แต่ไม่เคยกินเบียร์เลย ได้ลองมากินยังต้องชอบ (อะไรจะขนาดนั้น) ตำนานของเบียร์ยี่ห้อนี้มีมานานตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 15 (ค.ศ. 1445) ที่เมือง Hoegaarden ประเทศเบลเยี่ยม ปัจจุบันมีเบียร์แบบต่างๆทำออกมามากมาย ที่ได้รับความนิยมเท่าๆกันคงจะเป็น “rose” ที่มีรสชาติหวานขึ้นมาหน่อย เป็นเบียร์ที่สาวๆชอบดื่มแต่แฟนผู้เป็นคนจ่ายตังค์ต้องกุมขมับกันทุกคน
Weihenstephaner
หอมหวาน กลมกล่อม และเข้มข้น นี่คือเบียร์ที่ใครได้ลองก็ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยเหาะ ลื่นคอ ใช่แล้วนี่คือเบียร์จากประเทศเยอรมัน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เบียร์ยี่ห้อนี้มีต้นตำรับโรงผลิตอยู่ในโบสถ์ใหญ่ชื่อเดียวกันว่า Weihenstaphaner Abbey เริ่มต้นโดยเหล่านักบวชบ่มกันตั้งแต่ในปีค.ศ. 768! (เกือบ 1,300 ปี!) ถ้าวัดตามหลักฐานนี่อาจจะเป็นแบรนด์เบียร์ที่ผลิตเอาไว้ขายที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแล้วก็ได้ ยิ่งตัวเบียร์ Weihenstephan Vitus การันตีจากการคว้างรางวัลเบียร์ยอดเยี่ยมมามากมายหลายสมัย จนไม่มีใครอยากแข่งด้วยมาแล้ว แต่สำหรับ Vitus แม้จะกินลื่นคอจนอาจจะลืมตัว ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ 7.7% เบียร์นักบวชนี้อาจทำให้การเดินไปเข้าห้องน้ำของคุณเริ่มทำเพื่อนๆเป็นห่วงได้
Duvel
เบียร์ขวดเตี้ยป้อมที่เห็นคุ้นตาตามผับบาร์ Duvel เป็นเบียร์บริสุทธิ์ธรรมชาติ 100% กล่าวคือเป็นเบียร์ขวดที่ปราศจากกลิ่นปรุงแต่งและสารกันบูด ทำให้มีรสชาติที่โดดเด่นไปด้วยกลิ่นดอก Hops และด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงพอสมควร 8.5% ใครได้ลองต้องร้อง อ๋อ! แน่นอน (เป็นอาการดีด) ความขมของเบียร์จัดอยู่ในระดับที่เข้มข้น มีสีเป็นสีทอง เป็นเบียร์ทองที่ชาวเบลเยี่ยมภาคภูมิใจ ต้นกำเนิดของพวกเขาย้อนกลับไปในปี 1871 ที่ซึ่งก่อนจะมาเป็นชื่อนี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกเขาใช้ชื่อว่า Victory Ale ไปๆมาๆคอเบียร์ที่ได้ลองความหนักหน่วงเข้าไปถึงกับออกปากว่า “nen echten duvel” แปลว่า (“นี่มันปีศาจของแท้) ทำให้ชื่อถูกเปลี่ยนมาเป็น “Duvel” หรือ “Devil” นั่นเอง ได้ยินแบบนี้แล้ว พลพรรคแฟนผีคนไหนเวลาไปนั่งดูบอลตามผับ รู้แล้วนะว่าต้องสั่งเบียร์อะไร!
Stella Artois
ถ้าคนชอบ Hoegaarden ที่ความหอมของมัน แต่อยากได้ความเข้มข้นที่มากกว่า เชิญพบกับพี่น้องเบียร์สัญชาติเบลเยี่ยมอย่าง Stella Artois เพราะมักจะมีขายในร้านแนวๆเดียวกันเสมอๆและจำนวนแอลกอฮอล์ก็ไม่ห่างกันมาก อยู่ที่ 5.0% มาพร้อมแก้วรูปทรงทิวลิปที่สวยงาม เริ่มต้นจากการเป็นเบียร์ทำขายตามเทศกาลต่างๆ ในปี 1926 เป็นเบียร์ที่มีรสชาติกลมกล่อม เข้มข้นขึ้นมาอีกหน่อย และมีจุดเด่นคือดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น (สดชื่นในที่นี้คือถ้าลองกับเบียร์อื่นๆจะรู้เลยว่า Stella ทำให้ค่ำคืนของคุณตื่นเถิดเบิกบานแน่ๆ) ทุกวันนี้คอเบียร์อาจจะคุ้นชื่อกันดีจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานรินเบียร์ ที่เฟ้นหามือรินเบียร์เก่งที่สุดในโลกอยู่บ่อยๆ
Rogue
คราวนี้เรากระโดดมาเป็น Craft Beer หรือเบียร์ แบบ Microbrewery กันบ้าง คือเบียร์ที่ทำมือ ทำเองโดยไม่ได้มีระบบโรงงานอะไรใหญ่โต ที่เราเลือก Rogue มาแนะนำ ก็เพราะว่าตอนนี้ถ้าพูดถึง Craft Beer ประเทศอเมริกาดูจะมีออกมาหลากหลายแบรนด์มาก ทดแทนที่ไม่มีเบียร์ยี่ห้อเก่าแก่ของประเทศฝั่งยุโรป จุดเด่นของคราฟท์เบียร์คือ มีหลากหลายรสชาติ และรสชาติโดดเด่น ใครที่อยากลองเบียร์แปลกๆใหม่ๆก็ไล่ทำเควสเก็บคราฟท์เบียร์แต่ละรสของแต่ละแบรนด์ได้เลย สำหรับ Rogue พอจะมีให้เห็นอยู่บ้างในไทยทั้งหมดหลายรสอยู่เหมือนกัน (เกิน 5 แน่นอน) เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1988 ที่รัฐ Oregon ช่วงหลังๆมานี้พวกเขากวาดรางวัลคราฟท์เบียร์ยอดเยี่ยมมากมาย คงต้องลองดูถึงจะรู้
Hitachino Nest Beer
อีกหนึ่ง Craft เบียร์ เจ้านี้เขาเป็นถึงสุดยอดคราฟท์เบียร์อันดับ 1 จากแดนอาทิตย์อุทัย เขาคือเบียร์นกฮูกหน้าตาน่ารักท่ีหลายคนคงพอเคยเห็นผ่านตากันบ้าง มีทั้งหมด 8 รสชาติ ให้เลือกลิ้มลองกัน ถ้าที่เป็น Standard ของพวกเขาเลยคือตัว “White Ale” เบียร์ขาว Wittbier สไตล์เบลเยี่ยม (แนวเดียวกับ Hoegaarden) เป็นตัวที่ขายดีสุดแล้ว แต่ถ้าอยากลองเบียร์รสแปลกๆตามสไตล์ Craft Beer ที่อยากแนะนำคือ “Espresso Stout” เบียร์นกฮูกสีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นหอมของวานิลลาและกาแฟ โกโก คาราเมล ช็อคโกแลต แค่ไล่ส่วนประกอบมาก็น้ำลายหกแล้ว หวานหอมอร่อย เป็นที่ถูกปากของคนที่ได้ลอง ผลิตโดยบริษัท Kiuchi Brewery ของญี่ปุ่นที่ก่อนหน้านี้เน้นเรื่องผลิตสาเกมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 แต่ด้วยกฎหมายเรื่องการทำเบียร์ในช่วงปี 1996 พวกเขาเริ่มผสมผสานเทคโนโลยีที่มีกับเบียร์ฝั่งยุโรป เกิดเป็นคราฟท์เบียร์เจ้านกฮูก เป็นของขายดีจนถึงทุกวันนี้
Tsingtao
มาแถบเอเชียกันบ้าง นี่คือเบียร์ตัวแทนจากประเทศจีนที่มียอดขายติดอันดับทั่วโลก (ก็จริงๆคนจีนก็ล่อไปค่อนโลกแล้วนะ) ที่หลายคนลองชิมแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารสชาติอ่อนๆกินสบายๆ เน้นกินเรื่อยๆกับแอลกอฮอล์ 3.3% เป็นคาแรคเตอร์ที่ตรงตามสไตล์เบียร์จากเอเชีย เริ่มต้นในปีค.ศ. 1903 นักทำเบียร์จากอังกฤษและเยอรมันเดินทางมาปักหลักที่เมือง Qingdao และขนอุปกรณ์วัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบมาครบเครื่อง จุดเด่นของเบียร์ที่ผลิตที่นี่คือน้ำใสสะอาดที่ไหลลงมาจากภูเขาเหลาซาน จวบจนทุกวันนี้โรงผลิตเบียร์สาขาเดิมก็ยังใช้น้ำที่นี่อยู่ ล่าสุดนี้ทาง Tsingtao เองก็ประกาศว่าจะเริ่มบุกตลาดเมืองไทยอย่างจริงจัง (พี่ๆบรรดาเบียร์ Animal เจ้าป่าทั้งหลายได้ยินแล้วร้อนๆหนาวๆกันไหม) ทำให้ตอนนี้เบียร์จีนชิงเต่าเริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่คอเบียร์บ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ
Beerlao
เบียร์ลาว ““เบยลาว เบยของคนลาว คนจิงใจ” เบียร์จากประเทศเพื่อนบ้านที่ตอนนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่งออกทั่วทวีปเอเชียและไปไกลถึงทวีปอเมริกาเรียบร้อยแล้ว เป็นธุรกิจที่แทบจะเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดแล้วในประเทศลาวตอนนี้ กับรสชาติเบาๆดื่มคล่อง ดื่มเพลินแทบลืมตัว ที่ถูกใจทั้งคนไทยและเทศ มีแอลกอฮอล์ 4.9% ที่กินไปกินมาอาจจะเริ่มอ่านผิดอ่านถูกอยากเป็น “เขยลาว” กับเขาสักครั้ง (นั่น!) ต้นกำเนิดของเบียร์ลาว เริ่มต้นในปี 1972 ซึ่งตอนนั้นลาวยังเป็นราชอาณาจักร มีนักธุรกิจจากฝรั่งเศสเขามาร่วมลงทุนกับคนลาว ด้วยความตั้งใจอยากจะผลิตเบียร์ที่ครองใจคนชอบเบียร์ทุกมุมถนน ใช้ชื่อตอนแรกว่า “ลารู” (La Rue) ที่แปลว่าถนนในฝรั่งเศส จนเวลาผ่านไปจึงได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ “เบียร์ลาว” อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
Writer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
น่าจับตามองมากที่สุด สำหรับศิลปินคู่หูอินดี้ป๊อปอย่าง “Landokmai” (ลานดอกไม้) ประกอบด้วย “อูปิม - ลานดอกไม้ ศรีป่าซาง” (ร้องนำ) และ “แอนท์ - มนัสนันท์ กิ่งเกษม” (กีตาร์, คอรัส) สังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) ด้วยความชัดเจนโดดเด่นทางด้านดนตรีที่ผสมผสานความเป็น Dream-pop และความวินเทจแบบ Lo-fi ไว้ด้วยกันได้อย่างมีเสน่ห์