
ตลอดเวลาสองสามปีที่ผ่านมานี้ ความนิยมของกล้อง Action Camera ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จากใช้กันในแง่มืออาชีพ ถ่ายทำ Documentary มาจนถึงทุกวันนี้ บางครอบครัวยังมีไว้ติดบ้านเผื่อเวลาไปเที่ยวที่ไหนก็สามารถบันทึกภาพมันส์ๆได้เช่นกัน พูดมาถึงขนาดนี้ ถ้าบางคนยังไม่ค่อยคุ้นชื่อ Action Camera เราลองเรียกใหม่เป็นกล้อง GoPro ที่เป็นชื่อยี่ห้อ อาจจะพอคุ้นหูกันมากขึ้น (นึกถึงกล้องแบบนี้ยังไงก็ต้องนึกถึง GoPro เท่านั้น) แต่ล่าสุดแบรนด์เก่ากึ้กอย่าง Kodak นอกจากจะฟื้นคืนชีพจากล้มละลาย ลุกขึ้นมาผลิตฟิล์มกันต่อแล้ว คราวนี้พวกเขาขอปล่อยของเล่นชิ้นใหม่ที่ชื่อว่า “Kodak Pixpro SP360” ไอ้จิ๋วตัวเหลืองที่คุณภาพมาคับตัวจริงๆ
ด้วยดีไซน์เล็กกะทัดรัด พกพาสะดวกตามสไตล์ของกล้อง Action Cam. แต่ใส่ความเป็น Kodak เข้าไปด้วยสีเหลืองที่เราคุ้นตา มาถึง Spec ของมันกันดีกว่า สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือความอัศจรรย์ใจ มุมกล้อง 360 องศา ที่เลนส์กลมดิ๊กมอบให้ นี่คืออภิมหาความกว้าง ที่ฟิชอายก็ต้องหลีก มันกว้างซะจนต่อให้แปะเอาไว้บนหัวก็เห็นได้รอบตัว (ลองดูวิดีโอประกอบที่แนบมาด้วยแล้วจะต้องตะลึง) ไม่ต้องห่วงว่าจะกว้างไป เพราะเราสามารถปรับระยะความกว้างได้ตามใจ มาพร้อมกับเซนเซอร์ 16megapixel ที่สามารถอัดวิดีโอ 1080p ได้สบายๆ มี App และ WI-FI พร้อมมาให้ในเครื่องเสร็จสรรพ ระบบ NFC (Near Field Communication) ที่สามารถทำให้คุณเชื่อมต่อกับคนอื่นได้ง่ายๆ ฟังก์ชั่นที่มีให้เราเล่นก็มีตั้งแต่ Time Lapse Mode ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยม มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว Motion Detection และที่ขาดไม่ได้คือฟิลเตอร์แต่งภาพที่จะทำให้ภาพของเราไม่น่าเบื่อจำเจ แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่ล่ะ
สำหรับความเป็นกล้อง Action Cam. สิ่งที่สำคัญคือ Body ของกล้องที่เต็มไปด้วยบรรดา Proof ต่างๆ ทั้ง Shockproof (กันกระแทก) Frezzeproof (กันความเย็น) Dust Proof (กันฝุ่น) และ Water-Resistant (กันน้ำ) รับประกันเลยว่าต่อให้คุณจะใช้งานมัน Extreme ผาดโผนแค่ไหนทั้งปั่นจักรยาน เดินเขา ดำน้ำ จะสเก็ต สกี สกูบ้า สไลด์ สโลป อะไรก็แล้วแต่ พี่เหลืองคนนี้ก็เอาอยู่ ลองเช็คดูราคาและรายละเอียดเพิ่มเติมจากเวปไซต์ของ Kodak ได้เลย http://kodakcamera.pixpro-sp360.com
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย