สมมุติเวลาอยากหาเพลงฟัง เราจะไปไหนดี? คำถามง่ายๆ ถ้าให้ตอบง่ายๆก็คงเป็น “ก็ไปเปิดคอมเปิด Youtube ฟังไง” ถ้างั้นเปลี่ยนคำถามเป็น ถ้าอยากเพลงจริงๆที่จับต้องได้ อยากหาผลงานของศิลปินที่ทำมาเป็นอัลบั้มโดยที่ไม่ต้องรอคนโพสต์อย่างเดียวล่ะ? โดยที่เราไม่มีความรู้เลยว่าจะฟังวงไหนดี… ถ้าถามแบบนี้ดูตอบยากเหมือนกันนะ คำตอบมันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ห่างหายจากวัฒนธรรมการฟังเพลงของคนสมัยนี้ไปแล้ว มันคือ “Record Shop” หรือแปลเป็นไทยก็คือร้านขายซีดีขายแผ่นเสียงนั่นเอง และคนที่เราจะมาพูดคุยกับเขาในวันนี้คือ “พี่ป๋องแห่งร้าน 8 Musique” ร้านขายซีดีที่เป็นร้านขายซีดีจริงๆ! (ประเภทที่ดูจะหายากในสังคุมทุกวันนี้เหลือเกิน) …สิ่งที่ทำให้เราสนใจเกี่ยวกับร้านนี้้จนต้องสัมภาษณ์กันก็คือการที่ร้านนี้เขามีงานเพลงดีๆจากต่างประเทศ Import เข้ามาขายกันทั้งในกระแสสุดๆ หรือจะนอกกระแสสุดโต่งอินดี้แท้ๆเลยก็ยังมีให้เลือกทั้ง CD และ Vinyl เลย อืม… เกริ่นมาขนาดนี้แล้วอย่ารอช้าเลยดีกว่า! ไปดูกันว่าอะไรที่ทำให้เจ้าของร้านเขาผูกพันกับการขายซีดีขนาดนี้
เข้าร้านไปปึ้บก็ไม่ต้องรอช้า หาที่นั่งให้เหมาะแล้วเราก็เริ่มพูดคุยกันเลย …ขั้นแรกก็ต้องพูดถึงที่มากันก่อน สอบถามได้ความว่า ตั้งแต่ตอนเด็กๆถูกคุณพ่อเปิดเพลงให้ฟังในบ้านทุกๆเช้า “วันไหนขี้เกียจไปโรงเรียนพี่ก็ชอบแอบไปงีบในห้องพ่อนอนอู้ฟังเพลงสบายมากๆ” เพลงส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวก “Andy Williams” “Paul Anka” นักร้องเสียงเพราะๆในยุค 60′ 70′ พอโตขึ้นมาก็ได้ไปเรียนที่ไทยวิจิตรศิลป์ ตอนนั้นก็แน่นอนล่ะว่านอกจากพื้นฐานต้องฟังเพลงสามัญประจำเด็กศิล์ปอย่าง “Deep Purple” “Led Zeppelin” “Black Sabbath” แล้ว ส่วนตัวพี่ป๋องเองยังมีความสนใจฝั่งดนตรีของคนดำพวก Soul Funk อยู่ด้วย (ซึ่งถือว่าแปลกมากๆ) เพราะการหาเพลงฝรั่งฟังสมัยก่อนเอาแค่เพลงดังๆทั่วไปก็คงเป็นเรื่องที่ยากแล้ว นึกภาพโลกยังไม่มี Youtube ไม่มี Internet ให้หาโหลด และเพลงที่เข้ามาขายก็ไม่ค่อยจะมีให้เลือกเยอะเท่าไร แล้วจะไปหา Soul กันได้ที่ไหนล่ะ “หนทางที่จะหาเพลงฟังในยุคนั้น ง่ายสุดก็คือคุณต้องไปเที่ยว Night Club ไปฟังดนตรี หรือไม่ก็หาตู้เพลง Jukebox เสีย 1 บาทได้ 2 เพลง ที่มักจะอยู่ตามร้านอาหารต่างๆ ใครในร้านอยากเป็นดีเจก็ได้ คืออยู่ดีๆคุณจะเดินไปเปิด Highway Star ของ Deep Purple ในร้านไอติมก็ทำได้ไม่มีใครว่า” (ก็มันดีนะ นั่งกินไอติมกันแล้วฟังริชชี่ แบลคมอร์โซโล่ไปด้วย “แตแนวแน๊ววว”) แต่ความลับอีกอย่างที่ทำให้เขารู้จักเพลงมากมายมันคือวัฒนธรรมที่เรียกว่า “เทปผี” (ในที่นี้หมายถึงเทป Cassette ที่เป็นเทปผีจริงๆ) “พี่ชอบฟังพวกเทป Peacock, Eagle, 4Track ยี่ห้อดังๆ ที่สมัยนี้คงหมดไปแล้วมั้ง คือแต่ก่อนเทปผีพวกนี้เขาจะอัดเพลงแยกเป็นแนวต่างๆไว้ Volume เท่านั้นเท่านี้… มาเป็นรวมฮิตให้เลย คือเพลงไหนออกมาใหม่จากค่ายเพลง เทปผีมีหมด เวลาฟังก็จะมีเสียงเหมือนอัดมาจาก Master อีกทีเป็นเอกลักษณ์เลย เพราะฉะนั้นเวลาเราอยากฟังพวก Soul หรือ R&B เก่าๆ พวก “Otis Redding” ก็ต้องหาฟังตามเทปผีพวกนี้นี่ล่ะ” สุดท้ายจึงได้ความว่านอกจากสะสมแผ่นเสียงแล้ว เรื่องสะสมเทปผีนี่พี่เขาก็มีเยอะไม่แพ้กันเลยทีเดียว
จากเป็นนักสะสมอยู่ดีๆแล้วทำไมถึงมาเปิดร้านขายซีดีขายแผ่นเสียงได้นะ… ก่อนหน้านี้พอเรียนจบไทยวิจิตร จบเพาะช่าง พี่เขาเล่าว่าก็ทำงานเป็นพนักงานบริษัทปกติ “ช่วงนั้นถามว่าแฮปปี้ไหมก็มีความสุขนะ แต่คิดๆดูแล้วชีวิตเรามันดูหายไปหมด” แต่ถือเป็นโชคดีอย่างนึงที่เวลานั้นเมืองไทยเริ่มมีร้านนำเข้า CD Import มาขายกันจริงจัง “ตอนนั้นร้านเด่นๆที่พี่จำได้ก็มีร้านเปียตรง SOKO แล้วก็ร้าน Roxy Music สองร้านนี้ถือเป็นเจ้าแรกๆที่เขากล้า Import เอา Box Set เข้ามาขาย แล้วต่อมาพี่ไปเจออีกร้านนึงคือร้าน Music One ร้านนี้นี่สุดยอดเลย พี่จำได้เลยพี่เข้าไปครั้งแรกพี่ตื่นเต้นจริงๆ พี่ได้เห็นอัลบั้มที่พี่ชอบยุคนั้นอย่างวง Smashing Pumpkins อัลบั้มแรกที่ชื่อ “Gish” ปี 1991 แบบของจริงๆจับต้องได้ตัวเป็นๆหรือแม้แต่วงอย่าง Sonic Youth เขายังมีเลย คือพูดง่ายๆว่าเป็นร้านแรกๆแหละที่มีพวกวงอินดี้วง Alternative ขายในบ้านเรา และจุดเด่นอีกอย่างคือเขามีพวกแผ่น Single พวกเพลง B-Sideแปลกๆของวง Britpop มาขายด้วย เชื่อมั้ยว่าพี่อยู่ในร้านพวกนี้ได้ทีนึงเป็น 3-4 ชั่วโมงเลย คือพี่ชอบมากจริงๆ พี่มีความสุขกับการฟังเพลงแถมนอกอัลบั้มมากๆ” หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนรู้จักพูดคุยเวลาเจอกันในร้านขายซีดีแล้วก็ได้โอกาสให้ไปลองเปิดเพลงตามงานตามร้านดู “ตอนนั้นเป็นดีเจ Kenny ที่เขาเห็นพี่มีความรู้เรื่องเพลงแล้วชอบฟังเพลง ก็เลยบอกให้พี่ลองเปิดเพลงดูไหม แต่ตอนนั้นพี่ยังไม่เคยทำมาก่อนเลย ก็ถามเขาจะให้ไปเปิดได้ยังไง เขาก็บอกให้เปิดตามอารมณ์พี่นั่นล่ะ” แล้วหลังจากนั้นเขามีแผนเปิดร้านซีดีตรง Playgroundทองหล่อ (ตอนนี้ไม่มีแล้ว) ก็คิดอยากทำร้านซีดีที่ไม่เหมือนใครเป็นร้านที่สรรหาเพลงแปลกๆมาขาย พอรู้แบบนั้นเราก็ร่วมอุดมการณ์ด้วย ช่วงนั้นที่ร้านก็ถือเป็นเจ้าแรกๆเหมือนกันที่นำเข้าพวกอัลบั้ม Compile รวมเพลงรีมิกซ์รวมเพลงแปลกๆเข้ามาขาย ก็น่าจะเป็นช่วงนั้นล่ะที่เราเริ่มมีกลุ่มลูกค้าแล้วก็เริ่มเห็นภาพตัวเองเป็นคนขายซีดีขายแผ่นเสียงชัดมากขึ้น
แล้วพอมาถึงปัจจุบันนี้ พอเป็นร้าน 8Musique ที่เป็นร้านของตัวเองแบบเต็มตัว Concept ของพี่ง่ายๆเลยคือพี่อยากทำร้านขายเพลงที่มีเพลงทุกแนวบนโลกใบนี้ ไม่เกี่ยงว่าจะนอกกระแสหรือในกระแส จะคอยนำเสนอพวกวงหน้าใหม่ที่ทำเพลงกันออกมา จะเป็น CD หรือ Vinyl ถ้ารู้สึกชอบก็จะสั่งมาขายทั้งนั้น (บางคนงงมากนะว่ากล้าสั่งแผ่นแปลกๆ แล้วยิ่งในโลกยุคนี้ด้วยไม่กลัวขาดทุนเหรอไง) สำหรับพี่ปกติเวลาไปร้านซีดีแน่นอนล่ะเราต้องเห็น Norah Jones Jimi Hendrix พวกศิลปินดังๆเหล่านี้อยู่แล้วแหละ มีอยู่ครั้งนึงลูกค้าซื้องานของวง “Summer Twins” วงฝาแฝดผู้หญิงจากอเมริกันที่อินดี้สุดๆเลย แล้วเราก็เลยโพสต์ภาพลง IG แล้วแปะ #hashtag ไปหาเขา เชื่อไหมว่าศิลปินเขาตกใจเลยว่างานเพลงของเขามีขายถึงที่เมืองไทยเลยเหรอ!? (นี่ถือว่าพี่เขาเป็นฑูตเสียงเพลงตัวแทนประเทศไทยแล้วนะเนี่ย!) …อีกอย่างนึงที่สำคัญเลยสำหรับการเปิดร้านของพี่คือการมาพบปะพูดคุยกันที่ร้าน ข้อดีแรกคือเราไม่ต้องนั่งลุ้นสั่งตาม ebay ว่าแผ่นจะสภาพดีจริงมั้ย ได้เห็นของจริงไปเลย และส่วนตัวเราก็จะได้ความทรงจำดีๆที่ได้เจอคนคอเพลงเดียวกันตามร้านขายซีดีเหมือนที่พี่เองก็เคยมีตอนไปขลุกตามร้านที่เล่ามาสมัยก่อน พี่ว่าการมีสังคมเล็กๆอันนี้มันเป็นเรื่องดีมากเลยนะ เดี๋ยวนี้บางร้านไปถามคนขายเขาก็ไม่รู้จักเพลงที่ขาย เพราเหตุนี้ล่ะเราเลยอยากเอาประสบการณ์ดีๆที่เรามีมาแชร์ให้กับคนอื่นในความหมายของการเป็นร้านขายเพลงที่ดีบ้างเหมือนกัน” มันมีคำพูดที่น่าสนใจมากๆออกมาจากปากพี่เขาอยู่ประโยคนึงก็คือ “พี่ว่าการทำร้านขายซีดีมันไม่เหมือนเปิด 7-11 ที่คนเขาไปเลือกซื้อแล้วมาจ่ายตังค์ที่หน้าเคาเตอร์” ได้ยินแล้วเห็นภาพเลย ในมุมมองของเขาการขายซีดีมันจำเป็นต้้องมีทักษะและวัฒนธรรมเฉพาะตัวของมัน “อันนี้พี่ว่าเป็นเสน่ห์ของร้านขายซีดีเลยนะ คือพี่ว่าเราจำเป็นต้องมีความรู้และเราต้องแนะนำเขาได้ ต้องให้ข้อมูลเขาได้ อย่างน้อยที่สุดต้องตอบคำถามเค้าได้ล่ะว่าอันนี้เป็นแนวดนตรีอะไร เป็น Jazz เป็น Rock เป็น Blues หรือเป็น Pop แล้ววงไหนที่คล้ายกัน คือเราต้องทำการบ้าน แล้วทีนี้เรากับเค้าก็จะคุยกันสนุกละ ได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน บางวงพี่ไม่รู้จักมาก่อนได้ลูกค้าบอกพี่ก็มี แล้วมันสนุกกว่าการนั่งซื้อกันหน้าคอม นั่งจิ้มเลือกใส่รถเข็นเยอะเลย อันนั้นพี่ว่ามันขาดไป… มันไม่ได้เห็นหน้ากัน แถมคุยกันแบบนี้เราก็ได้ความรู้ใหม่ๆไม่มีจบกันอีกด้วย”
ส่วนใหญ่ลูกค้าของร้าน 8 Musique ก็มักจะเป็นคนวัยทำงาน ที่เห็นบ่อยๆก็จะเป็นงานสายครีเอทีฟ งานใช้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งหลาย ในที่นี้นี่รวมไปถึงเหล่าอาชีพนักดนตรีที่มีผลงานเพลงชื่อดัง หลายคนเวลาอยากหาแรงบันดาลใจฟังเพลงดีๆก็มาหาซื้อที่ร้านนี้เช่นกัน (ลองดูรูปมาฝากกันได้เลย) “คนทั่วไปส่วนใหญ่เขาชอบคิดว่าการเล่นแผ่นเสียงเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าสมัยก่อนอาจจะเป็นแบบนั้นนะ เพราะราคามันแพง แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาแล้ว เราสามารถหาซื้อของดีใช้ได้โดยที่ราคาไม่ได้อยู่เกินตัว” คือจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวยเศรษฐีเราก็ซื้อฟังได้… แต่ก็แอบสงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่า ทำไมยุคสมัยดิจิตอลทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้ แผ่นเสียงมันยังอยู่ได้? นอกจากเรื่องคุณภาพเสียงที่ว่ากันว่าเหมือนกับฟังวงดนตรีมาเล่นให้ฟังสดๆตรงหน้าแล้ว (หลายคนแล้วที่บอกแบบนี้) ”พี่ว่าเพราะว่าแผ่นเสียงมันคือ “ตัวจริง” มันสอนให้คนใจเย็น คือคุณต้องเสียบปลั๊กก่อน วอร์มเครื่องวอร์มแอม จากนั้นก็ค่อยๆเอาแผ่นออกมา ถ้าแผ่นเป็นรอยมีฝุ่นเกาะก็ต้องปัด แล้วก็ค่อยๆเช็ด พอเปิดฟังก็ต้องค่อยๆบรรจงฟัง จะกรอก็ไม่ควรเพราะเดี๋ยวเข็มมันจะเสีย มันเหมือนบังคับให้คนต้องฟังสิ่งที่ศิลปินเขาตั้งใจทำมาทั้งอัลบั้ม ความละเอียดอ่อนในการวางลำดับแต่ละ Track มันเป็นการฟังเพลง “จริงๆ” ในยุคที่โลกเรามันก้าวไปเร็วมาก คนก็เริ่มหันกลับมาหาอะไรที่มันจับต้องได้ดีกว่า แล้วเชื่อมั้ย? เมื่อคุณเล่นแผ่นเสียงคุณจะกลายเป็นคนอยู่ติดบ้าน ใส่ใจรายละเอียด มีความสุขกับตัวเองได้ง่ายๆเลย” ความรู้ใหม่อีกอย่างที่เพิ่งรู้วันนี้ก็คือ วงดนตรีเมืองนอกสมัยนี้เขาก็ยังทำแผ่น Vinyl ออกมาอยู่ปกติ โดยเฉพาะพวกวงอินดี้เกาะอังกฤษนี่ล่ะทำออกมาตลอด (ก่อนหน้านี้นึกว่าหยุดไปแล้วซะอีก ถ้าอยากเห็นพวกอัลบั้มวงอินดี้เวอร์ชั่นแผ่นเสียงก็มาดูตัวเป็นๆที่ร้านพี่เขานี่ล่ะ)
คุยกันมาพักนึงเริ่มอดไม่ได้ที่จะอยากรู้แล้วว่า แผ่นที่ประทับใจที่สุดสำหรับนักฟังเพลงคนนี้จะเป็นอัลบั้มอะไรกันนะ? “พี่ไม่อายเลยนะที่พี่จะบอกว่าพี่โตมาพร้อมยุค Glam Rock (ยุคที่หลายคนชอบมองว่าเป็นช่วงตกต่ำของวงการเพลงร็อค) พวกวงร็อคไว้ผมยาวแต่งหน้าทาปากเป็นผู้หญิง แล้วพี่ฟังพวกวงอเมริกันที่คนชอบว่าเสียๆหายๆอย่างวง “Poison” นั่นล่ะ เพราะฉะนั้นอัลบั้มที่พี่ประทับใจส่วนตัวพี่ก็คือ “Open Up and Say… Ahh!” (อัลบั้มที่สองของวงออกมาตอนปี 1988) พี่ชอบปกอัลบั้มนี้ที่มันเป็นผู้หญิงตัวแดงๆแลบลิ้นยาวๆให้คนตกใจ มันน่าเกลียดซะจนตอนหลังเขาต้อง Censored ปกนี้ แต่พี่มีเวอร์ชั่นแรกที่เขาไม่ได้เซนเซอร์นะ (ยิ้ม)” และก่อนจากกันอีกคำถามง่ายๆที่เราเชื่อว่านักฟังเพลงทุกคนคงในชีวิตนี้อยากให้มีคนมาถามแน่ๆ (เราเองก็เป็น) อยากรู้จังว่า Track ไหนที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของคนที่หลงรักในเสียงดนตรีคนนี้ที่สุด พี่เขาก็ชิงบอกก่อนเลย “ให้ตอบได้กี่ Track ล่ะ (หัวเราะ)” สำหรับพี่เพลงแรกต้องเป็น “Stairway to Heaven – Led Zepplin” เพลงนี้มันคือสุดยอดแล้ว จำความได้เลยว่าตอนนั้นสมัยเรียนได้ยินรุ่นพี่เล่น Intro ขึ้นมา เราถามเขาเลยเพลงนี้เพลงอะไร พอเขาบอกมารีบไปหาซื้อเทปมาฟัง (แน่นอนว่าตอนนั้นคือเทปผี) เป็นรวมฮิตเพลงหนักๆ พอฟังทั้งเพลงมันทึ่งมาก โอ้โห เปิดมาเสียงกีตาร์เพราะๆ พอเข้ากลางเพลงมันหนักขึ้นแล้วปิดท้ายด้วยโซโล่ยับ พี่ว่ามันคือสุดยอดจริงๆ แล้วพี่ให้วงนี้เป็นที่สุดของวงด้วยเช่นกันนะ Led Zepplin นี่สุดยอดมากๆ! เพลงที่สอง “Sweet Child O’ Mine – Gun N’ Roses” คงด้วยความที่เราโตมาพร้อมยุคนี้พอดี แล้วเพลงนี้มันเป็นเพลงที่ช้าที่สุดแล้วมั้งของอัลบั้มแรก พวกวงร็อคหนักๆพวกนี้เคยสังเกตกันมั้ยมันจะประหลาดอย่างนึง เวลาเขาทำเพลงบัลลาดช้าเศร้าๆทำไมมันถึงได้เพราะซะเหลือเกิน แล้วเพลงนี้มันไม่ได้ช้าซะทีเดียวเลยชอบมาก เพลงสุดท้ายคือ “Supersonic – Oasis” เพลงนี้มีความทรงจำคือ ตอนนั้นไปเดินหาซื้อพวกแผ่น Single จากวงอังกฤษ แล้วมาสะดุดตรงหน้าปกอัลบั้มนี้เป็นนักร้องนำนาย Liam Gallagher ยืนมองหน้าเรากลางห้องซ้อม ไอ้เราก็เลยลองซื้อมา พอฟังแล้วมันเหมือนค้นพบเลยว่า เพลงพวกเขามันไม่ใช่กีตาร์ฮีโร่อะไรมากมายแต่ทำไมฟังแล้วมันดูมีพลัง ทำไมฟังแล้วมันเท่ขนาดนี้ หลังจากนั้นมาก็เลยรู้สึกชอบมากๆ
…จากทุกคำถามคำตอบที่พูดคุยกับพี่เขามาจนจบ คงบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้รักในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ขนาดไหน สำหรับใครที่อยากสัมผัสกับบรรยากาศร้านขายซีดีที่อบอวลไปด้วยความรักของเสียงดนตรีแบบนี้ล่ะก็ ลองไปเลือกซื้อเลือกชม หรือแวะไปพูดคุยกับพี่ป๋องกันที่ร้านเขาได้ อยู่ชั้นล่างตึก Ei8ght Thonglor ซอยทองหล่อ กับร้าน “8 Musique” ร้านขายเพลงดีๆที่รับประกันเลยว่าคอเพลงคนรักเสียงเพลงคนไหนได้เห็นได้ฟังแล้วเป็นต้องหลงรักแน่นอน…
Writer: Pakkawat Tanghom
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
นาทีนี้ถ้าพูดถึงศิลปินและโปรดิวเซอร์มากความสามารถ “THE TOYS” หรือ “ทอย-ธันวาบุญสูงเนิน” จากสังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) คงเป็นชื่อต้นๆที่ใครหลายคนนึกถึง เพราะจากผลงานที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเพลง หน้าหนาวที่แล้ว ,ก่อนฤดูฝน , เมะ ,ไวน์ลดา ได้กลายเป็นเพลงระดับเมก้าฮิตติดชาร์ท ซึ่งล่าสุด THE TOYS ประกาศคัมแบ็คมาพร้อม “6667” โปรเจกต์ใหม่น่าติดตามที่จะมาสร้างตำนานครั้งใหม่ให้กับวงการเพลงไทย