กระแสการปั่นจักรยานในปีที่ผ่านมานั้นได้รับความนิยมกันอย่างมากในวงกว้าง และยังหลากหลายช่วงวัย หลายอาชีพ ก็หันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้น คงเป็นเพราะการใส่ใจสุขภาพของคนเราดูมีความสำคัญมากขึ้น และยังสามารถแสดงออกให้กับบุคคลอื่นๆ ทั่วไปให้ได้รับทราบโดยสื่อต่าง ๆ หลายช่องทางเช่นเฟสบุคซ์ ไลค์ อินตาแกรม ทำให้มีคนสนใจมากขึ้น แต่การปั่นจักรยานมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิดอีกหลายทาง นอกจากทำให้สุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากโรคต่างๆ สดชื่นแจ่มใสเมื่อได้มีการปั่นจักรยาน
การปั่นจักรยานแบบเร็วหรือเรียกว่า Spin นั้นก็เป็การออกกำลังกายอีกแบบที่มีประโยชน์ในแบบที่เราอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้ เรามาดูกันนะครับว่ามีอะไรกันบ้าง
ประโยชน์ 10 ข้อของการปั่นจักรยานแบบ Spin (ความเร็ว)
- Endorphin rush เร่งการหลั่งสารแห่งความสุข ฮอร์โมนนี้ชื่อว่า เอ็นโดฟิน เมื่อหัวใจมีการสูบฉีดเลือดมากขึ้นจะกระตุ้นการทำงานของสมองหลั่งเอ็นโดฟินออกมา ซึ่งเราเข้าใจกันกระตุ้นให้มีความสุข รู้สึกมีความมั่นใจ ปลอดโปร่งและสบายใจมากขึ้น
- Glowing youthful skin ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งมีสุขภาพดี และดูมีความอ่อนเยาว์มีน้ำมีนวลมากขึ้น เพราะการสูบฉีดเลือดที่ไปเลี่ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายส่งผลกระตุ้นการทำงานของระบบเซลล์ผิวหนังให้มีความกระจ่างใส พลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน
- Shack up you system เป็นการตรวจสอบระบบการทำงานของร่างกายที่ปกติใช้งานน้อยหรือไม่ค่อยได้ใช้งานให้มีความพร้อมอยู่เสมอ ในสะภาวะที่ใช้งานร่างกายออกแรงอย่างเต็มที่ เพราะการปั่นจักรยานทำให้ระบบการทำงานในร่างกายทุกระบบต้องทำงานร่วมกัน
- Strong core & Back ความเข้าใจผิดส่วนใหญ่ของการปั่นจักรยาน คือทำให้ปวดหลังซึ่งในความป็นจริงนั้นคือการปั่นจักรยานจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัวมีความแข็งแรงมากขึ้น เนื่องจากท่าทางในการนั่งปั่นบนจักรยานต้องพยายามควบคุมการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งสองส่วนนี้ในการออกแรงออกแรงขาอย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดความแข็งแรงมากขึ้น ดังนั้นในการปั่นครั้งต่อไปให้สังเกตท่าทางการปั่นของเราด้วยว่าเป็นอย่างไร? ท่าทางถูกต้องหรือไม่? หากไม่แน่ใจให้หาที่ปรึกษาที่เป็นเทรนเนอร์สักคนรับรองว่าได้ผลดีมากเลยทีเดียว
- Toned quads & bum กระชับสัดส่วนต้นขาและสะโพกให้มีความสวยงามมากขึ้น เพราะการปั่นจักรยานมีการใช้กล้ามเนื้อต้นขาซึ้งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของร่างกายถูกใช้งานอย่างหนักส่งผลให้เกิดการเผาผลาญไขมันที่กล้ามเนื้อต้นขาอย่างหนักด้วยเช่นกันแต่ไม่ต้องกลัวต้นขาใหญ่นะครับ แต่จะดูกระชับมากกว่านะครับ ไม่เชื่อลองวัดรอบวงต้นขาไว้เปรียบเทียบสิครับ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
- Healthy heart ทำให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจที่ใช้ในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกาย ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้ดี
- Burn fat จุดหลักสำคัญเลยครับอันนี้ “สลายไขมัน” ในร่างกาย ในเมื่อร่างกายมีการออกแรงก็ต้องมีการใช้แรงกล้ามเนื้อมากขึ้นทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกาย ไขมันจึงลดลงได้ง่ายขึ้น และอัตราการเผาผลาญนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนเรานอนหลับเลยเดียว และยังลดอัตราการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดด้วย
- Immune defence มีการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้แข็งแรงเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอม เช่นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถเข้าในร่างกายของเราได้ เพราะสิ่งแปลกปลอมต่างๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลายช่องทาง การที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้มีความแข็งนั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
- Flexible joints สร้างความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อมากขึ้นโดยเฉพาะข้อต่อสะโพก หัวเข่า ข้อเท้า เป็นต้น ในการปั่นจักรยานไม่ได้ใช้เพียงกล้ามเนื้ออย่างเดียว ข้อต่อต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นก็ช่วยกันทำงานด้วยเช่นกันส่งผลให้ข้อต่อมัความแข็งแรงและทนทานต่อการเสียดสีได้เป็นอย่างดี
- Better sex และข้อสุดท้ายนี้ต้องขอบอกเลยว่าการปั่นจักรยานแบบใช้ความเร็วนี้ส่งผลต่อร่างกายระบบต่อการทำงานต่างๆ ของร่างกายทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น หลายคนคนเข้าใจว่าการปั่นจักรยานอาจจะทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศลงได้ ซึ่งบอกเลยครับว่าผิดแล้ว กลับตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ กลับทำให้มีประสิทธิมากขึ้นด้วยซำ้ มีผลงานวิจัยว่านักกีฬาที่ปั่นจักรยานเป็นประจำมีสมรรถภาพทางเพศที่ดูอ่อนลงถึง 4-5 ปีเลยทีเดียว
สุดท้ายผมเชื่อว่าการออกกำลังกายไม่ว่าประเภทอะไรก็มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้นทั้งนี้ต้องดูความพร้อมของร่างกายว่ามีการพักผ่อนที่เพียงพอ ทานอาหารครบถ้วนอย่างเหมาะสม และแผนการออกกำลังกายที่พอเหมาะสมกับความแข็งแรงและอายุของผู้ออกกำลังกาย ดังนั้นควรเริ่มต้นการออกกำลังกายกันได้แล้วครับ เพื่อความสุขของเราเองและครอบครัวที่ท่านรักและรักท่าน
Writer : เทรนเนอร์ เกรียงไกร ตั้งเจริญไพบูลย์
RECOMMENDED CONTENT
แบทแมนเวอร์ชั่นนี้ "ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้มากเท่าไร" แพตทินสันกล่าวขณะที่เขาแนะนำตัวอย่าง