สัมภาษณ์ > Suvisit Rakprayoon
ภาพ > Kongkarn Sujirasinghakul
—————
“ผมคิดว่าเราต้องคิดใหม่ ต้องทำงานหนักขึ้นและเร็วขึ้น จะมาโอ้เอ้ไม่ได้อีกต่อไป” นี่คือสิ่งที่ “พล คชภัค” (พล แคลช) หนึ่งในโปรดิวเซอร์ผู้ก่อตั้งค่าย BOXX MUSIC ได้พูดไว้ระหว่างที่เรานั่งคุยกัน ทำให้เรารู้สึกได้ว่าค่ายเพลงน้องใหม่แห่งนี้ มีความตั้งใจในงานครั้งนี้แค่ไหน
BOXX MUSIC ค่ายเพลงน้องใหม่ภายใต้หลังคา มิวสิค มูฟ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งประกอบด้วย “พล คชภัค” (พล แคลช), “โอ๊ป เพิ่มศักดิ์” โปรดิวเซอร์ที่เคยสร้างความสำเร็จให้ Clash และ So Cool, “ยักษ์ อนันต์” (ยักษ์ แคลช), “เอก สุดเขต” (เอก Season Five) และ “ปอย Portrait” แน่นอนว่าทุกคนล้วนผ่านการทำงานมาอย่างโชกโชน ทำให้การรวมตัวครั้งนี้เป็นสิ่งน่าสนใจว่าแต่ละคนจะงัดอะไรออกมาใช้กับ BOXX MUSIC งั้นวันนี้เราไปพูดคุยกับพวกเขากันเลย ถึงที่มาที่ไปของค่าย ศิลปินที่มีอยู่ตอนนี้มีใครบ้าง และเป้าหมายของพวกเขาในปี 2016 นี้!
BOXX MUSIC เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
พล: มันเป็นหนึ่งความอยากก่อนครับ ที่ตัวผมเอง และเพื่อนๆ พี่ๆ อยากจะมีพื้นที่ที่เราสามารถทำงานได้อย่างอิสระ อิสระในที่นี้หมายความว่าทั้งตัวศิลปินและคนทำงาน ได้มาร่วมแชร์ไอเดียซึ่งกันและกันครับ ที่สำคัญผมมองว่าพื้นที่นี้พร้อมเปิดโอกาสคนข้างนอกด้วย
อะไรที่ทำให้พวกคุณทุกคนมารวมตัวกัน ?
ปอย: จริงๆ เราไม่ได้กะเกณฑ์อะไร เหมือนเราบังเอิญมาเจอกันที่ตรงสี่แยกพอดี
พล: ภาพรวมมันเห็นใกล้ๆ กันอยู่ แน่นอนว่าสีมันต่างกัน แต่มันเป็นสีที่สามารถมาผสมกันได้ อย่างที่พี่ปอยเคยพูดว่า ตัวเขาอินดี้มากส่วนผมอยู่ในฝั่งแมสมาตลอดชีวิต เขารู้สึกว่าถ้าเราได้มาทำงานร่วมกัน มันก็น่าจะมีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้น ผมว่าวันนี้พวกเราก็เป็นแบบนี้ มีแต่ละสี แล้วเราก็มาผสมกัน เลยทำให้เป็น BOXX MUSIC ได้
Style ของ BOXX MUSIC คืออะไร ?
พล: ตัว BOXX MUSIC เราได้วาง direction ไว้แล้ว ว่าเราจะไม่จำกัดเรื่องของแนวดนตรีเลย จะแนวไหนก็ได้ คุณจะร็อค คุณจะป๊อป หรือจะโมเดิร์นร็อค อะไรก็ได้ แต่สิ่งนึงที่เราอยากได้จากศิลปินคือ มี Lifestyle ที่ชัดเจน มีตัวตนชัดเจนในชิ้นงาน
ปอย: อีกอย่างผมว่าเรามีองค์ประกอบที่ไม่เหมือนคนอื่น ผมมองว่า BOXX MUSIC เป็นเหมือนค่ายอินดี้ซักค่ายนึงที่ถูกเอามาใส่ไว้ในค่ายใหญ่ เป็นอินดี้ที่มีเด็กโลดเต้นอยู่เต็มไปหมดเลย ไม่มีข้อจำกัดมันเป็นศิลปะล้วนๆ แต่เราก็มี structure ของความเป็นค่ายใหญ่ ของความเป็นรุ่นใหญ่ มีผู้บริหารที่เก่ง มีมาร์เก็ตติ้งที่เก่ง มาคอยแต่งขอบให้เราอีกทีนึง มีทีมงานที่ดี ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นส่วนผสมที่ดี ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
inspiration ?
พล: จริงๆ แล้ว BOXX MUSIC มี inspiration มาจากกล่อง ซึ่งผมได้แรงบันดาลใจมาจากคำสอนของพี่เต๋อ เรวัต พุทธินันท์ ที่เขาเคยสอนไว้ว่าเวลาเราคิดงานให้เราคิดถึงกล่อง กล่องดีๆ ที่มองด้านไหนมันก็สวยงามไปหมด อย่าทำงานแล้วคิดถึงเงินที่เราจะได้มา ให้คิดถึงเรื่องผลงานก่อน ผมก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอันนึงที่พวกเราควรจะทำมัน ก็เลยเอามาใช้เป็นชื่อค่าย และเป็นวิธีคิดในการทำงานของค่ายครับ
ค่ายเพลงที่ดีควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?
พล: อันนี้ผมขอตอบในฐานะที่ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจนะครับ แล้วผมคิดว่าปัจจัยเหล่านั้นไม่ใช่หน้าที่ของค่ายเพลง แต่มันเป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญของค่ายเพลงคือความเป็นแก๊งค์ ผมว่าอันนี้มันคือแกนของการทำงานของพวกเรา อย่างตอนนี้เวลาเราประชุมทั้งฝั่งคนทำเพลง และฝั่งที่จะวางแผนโปรโมทก็จะมานั่งเถียงกัน เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราตั้งใจ ทุกคนต้องมองเห็นภาพเดียวกัน เพราะ BOXX MUSIC มันคือแก๊งค์
โอ๊ป: มันสนุกตรงนี้แหละ เวลาที่เรามานั่งถกเถียงกัน มันเป็นการถกเถียงที่สนุก จนสุกท้ายก็ได้ของที่ทุกคนแฮปปี้ เราต้องมาซัดกันเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด
ปอย: มันไม่เหมือนบางค่ายที่จะมีคนเคาะเพลงแค่พี่คนนี้เท่านั้น พี่คนนี้จะเป็นคนสุดท้ายที่จะตัดสินว่าผ่านหรือไม่ผ่าน พี่คนนี้ก็จะเป็นคนกำหนดทิศทางของค่าย แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น ทุกคนต้องช่วยกันกำหนดทิศทาง
แก๊งค์ BOXX MUSIC ตัดสินงานกันยังไง ?
พล: การตัดสินของพวกเราเหมือนการโหวต สมมุติเปิดเพลงนึงให้ทุกคนฟัง แล้วมีคนยกมือ 7 ใน 10 แสดงว่าเพลงนี้โอเคแล้ว จะไม่มีใครที่จะเดินเข้ามาบอกว่าเพลงนี้กูชอบ โดยคนที่เหลือไม่ชอบ อย่างนี้มันไม่ใช่แก๊งค์แล้ว
ปอย: คือจริงๆ มันไม่ใช่วิธีที่ผิดหรือถูก คือบางคนเขาอาจจะมีวิธีอื่นที่เขาแฮปปี้ ก็โอเค แต่อันนี้มันเป็นวิธีของเรา
ศิลปินในค่ายตอนนี้มีใครบ้าง ?
พล: ตอนนี้มี 4 ศิลปินครับ ก็มีน้องอิ้งค์ วรันธร งานของเขาก็จะเป็น synthpop ได้พี่โอ๊ปเป็นโปรดิวเซอร์ อีกไม่นานเราก็จะได้เห็นผลงานกันแล้ว แล้วก็มีวง The Kastle เป็นวงที่จริงๆ ก่อนหน้านี้มีชื่อว่า Rock Paper Scissors หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นกันบ้างตามงานอีเว้นท์ต่างๆ ซึ่งพวกเขามีกลุ่ม มีแฟนๆ ที่รู้จักกันอยู่แล้ว ศิลปินคนที่สามก็คือน้องนัน สุนันทา ที่ผมมองว่าเป็นสายป๊อปที่สุดที่เรามีตอนนี้ ส่วนเรื่องเพลงจะถูกผสมออกมายังไงอยากให้ลองติดตามดูกัน (ยิ้ม) สุดท้ายตอนนี้ก็มีพี่ปอย portrait เชื่อว่าทุกคนรู้จักกันอยู่แล้วครับ
วิธีเลือกศิลปิน ?
ปอย: ความซนครับ จากจุดร่วมของพวกเราคือความเปิดใจ ความรู้สึกว่าเราอยากลองอะไรที่เราไม่เคยทำ เราไม่มีกรอบ ไม่มีความคิดที่เป็น conversional มาบังคับเรา ผมว่าทุกคนมี attitude อันนี้ตรงกัน
พล: อย่าง The Kastle ผมไปเจอกับมด (มือกีต้าร์วง The Kastle) ในงานนึงที่ต่างจังหวัดซึ่งเขาไปเล่นแบ็คอัพในงานนั้น เขาก็เดินเข้ามาหาผม แล้วก็บอกว่า “ผมมีเพลงมาเสนอพี่ครับ พี่อยากลองฟังดูไหม?” ผมเลยให้อีเมลเขาไป อีก 2 วันก็ส่งเพลงมาพร้อมกับโปรไฟล์ ก็เลยลองฟัง แต่พอผมฟังเสร็จเท่านั้นแหละผมตื่นเต้นมาก ผมส่งเพลงนี้ให้กับทีม ผมไม่รู้ว่ามันดีที่สุดหรือป่าวนะ แต่มันถูกเคมีกับเรา ฟังแล้วตื่นเต้น มันเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อม
ยักษ์: ตอนที่ได้ฟังครั้งแรกผมว่ามันเพราะ แล้วมันมีความเก๋ อย่างที่บอกว่าวงที่เราเอามาต้องมีความซนอยู่ในนั้น มีจินตนาการ เวลาฟังแล้วรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เขาจะเล่าให้เราฟัง
พล: แล้วผมก็อยากย้ำนะว่า 4 ศิลปินที่พวกเราดูแลอยู่ เป็นศิลปินที่มีสไตล์ชัดเจน
โปรดิวเซอร์ที่ดีทำหน้าที่ ?
โอ๊ป: สำหรับผมโปรดิวเซอร์มันมีหน้าที่ที่ต้องขุดความสามารถของศิลปินให้ออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขามี เราต้องอ่านให้ออกว่าเขามีอะไรอยู่ในตัวบ้าง โปรดิวเซอร์ ไม่ใช่การเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ต้องเอาศิลปินเป็นที่ตั้งเพื่อให้ศิลปินเขาไปในทางที่เขาไปได้ ย้อนกลับไปวันแรกที่ผมเจอ Clash ผมก็ฟังเดโมของเขา เลยจับได้ว่าพลมีความสามารถในการ Picking ที่เก่งมาก ทั้งๆ ที่เขายังเด็ก ผมก็เลยดึงจั๊ก ชวิน มา Picking เพลงยากๆ ให้พลดูเพื่อให้เขาได้ใช้สกิล แน่นอนว่าเขาทำได้ หลังจากนั้นเขาก็มาสายนี้เลย หรืออย่างน้องเอิ๊ต ภัทรวี น้องเขามีความซนมากๆ ของที่ไม่ใช่เครื่องดนตรี เขาก็สามารถเอามาทำเป็นเครื่องดนตรีได้ ผมก็เลยดันในสิ่งนั้นออกมา สิ่งเหล่านี้แหละคือความหมายของโปรดิวเซอร์
สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ?
โอ๊ป: ในฐานะที่ผมเป็นศิลปินมาก่อน รวมถึงทุกคนที่อยู่ในนี้ก็เป็นศิลปินกันหมด ผมรู้สึกดีตรงนี้แหละที่เรามีค่ายมีคนทำงานเป็นศิลปินด้วยกัน เพราะเราก็จะรู้ความรู้สึกของศิลปิน ว่าสิ่งที่ออกไปจากเขาไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือภาพต่างๆ ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา เพราะถ้าเขาไม่แฮปปี้ เขาจะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต แล้วมันก็จะติดตัวเขาไปจนตาย ซึ่งพวกผมไม่อยากให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับศิลปินใน BOXX MUSIC เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่โปรดิวเซอร์ควรระวัง ก็คือการไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วทำหน้าที่ผลักดันในสิ่งที่เขามี
วงการเพลงตอนนี้เป็นอย่างไร ?
เอก: ผมว่ามันมีได้มีเสีย อย่างสมัยก่อนความเป็นศิลปินมันดูจับต้องยากเพราะมันเข้าถึงยาก แล้วผลงานกว่าจะออกมาแต่ละชิ้นก็ยากมาก แต่ผมรู้สึกว่างานที่ออกมาแต่ละชิ้นมันมีคุณค่ามากทั้งสำหรับศิลปิน และคนฟัง แต่ถ้าเป็นสมัยนี้เด็กที่มีฝีมือแทบไม่ต้องกลัวอะไรเลย มันมีช่องทางที่จะเผยแพร่เพลงให้คนอื่นได้ยิน ทำให้เพลงมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ผมว่ามันมีข้อดี ข้อเสียกันคนละแบบ
โอ๊ป: เมื่อก่อนเวลาศิลปินเปิดตัวอัลบั้ม แฟนเพลงต้องไปยืนรอที่แผงกันแล้ว ไปหยิบจับ ซื้อมาอ่านปกทุกอย่าง แล้วฟังทุกอย่างจนจำได้ทุกฮาโมนี่ที่เกิดขึ้นในนั้น แต่เดี๋ยวนี้พฤติกรรมแบบนี้มันไม่มีแล้ว
ปอย: ผมก็เป็นคนนึงที่เปลี่ยนผ่านมาเยอะพอสมควร ถ้าถามว่าวันนี้รู้สึกยังไง ผมว่ามันยังเปลี่ยนอยู่นะ มันยังไม่เข้าจุดสมดุลซะทีเดียว ตอนนี้กลายเป็นว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปตามความทันสมัยของเทคโนโลยี ผมรู้สึกว่าตอนนี้คลิปวิดีโอของ facebook กำลังจะแซงคลิปวิดีโอของ Youtube ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา youtube ยังเป็นแชมป์อยู่เลย ลองคิดดูสิว่าอีก 2 ปีจะเป็นยังไง? แล้วคนจะเสพเพลงของเราผ่านช่องทางไหน? คนดูละครหลังข่าวไม่ดูเรียลไทม์กันแล้ว ดูย้อนหลังกันหมด แถมยังไม่ดูผ่านจอทีวีด้วย อีกสองปีมันจะเป็นยังไงนึกไม่ออกเลย ศิลปินตอนนี้ต้องตื่นตัวมากๆ วิธีเดิมๆ นี่อย่ายึดติด คุณยึดติดข้อดีเดิมๆ ของคุณได้ แต่ต้องไม่ปิดกั้นเทคโนโลยี เพราะพรุ่งนี้มันจะมีเทคโนโลยีใหม่มา
เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนวงการเพลง ?
ปอย: ใช่ เพราะเทคโนโลยีอันนี้มันคือการสื่อสาร มันกระทบกับสื่อ เมื่อก่อนสื่อมันนิ่งมากมีแค่ ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ จบ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันลื่นไหลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งอันนี้ใครไม่ตื่นตัวเสร็จแน่นอน
โอ๊ป: ลองคิดดูสิว่าอยู่ดีๆ พรุ่งนี้มีใครคิดวิธีฟังเพลงแบบใหม่ขึ้นมา ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย Marketing ก็ต้องตามให้ทัน
รายได้ของศิลปินตอนนี้มาจากไหน ?
โอ๊ป: โชว์ครับ มันจะไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เพราะมูลค่าเพลงมันน้อยมาก ถ้าคิดจากวันนี้ย้อนไป 10 ปี มันลดลงเยอะมาก จนตอนนี้มันเหลือซัก 10% จากเมื่อก่อนเอง
ปอย: ความจริงอย่างนึงที่เราจะมองเห็น มองข้ามความเสื่อมสลายนั้นไปคือ มนุษย์เราไม่มีทางเลิกร้องเพลง แล้วมนุษย์เราไม่มีทางเลิกฟังดนตรี พรุ่งนี้มันก็จะเดินต่อไป มีพี่คนนึงบอกว่ามันแค่น้ำมันเปลี่ยนทาง แต่ลำธารของมันก็ยังไหลไปเรื่อยๆ อาจจะมีหินขวางอยู่แต่สุดท้ายมันก็อ้อมไปได้ มันแค่เปลี่ยนเส้นทางของมันเท่านั้นเอง เงินไม่ได้หายไปไหน มันแค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเอง เมื่อก่อนมันอยู่ที่ซีดีหรือเทป ตอนนี้เงินมันย้ายไปอยู่ที่ไหนซักที่นึง ที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนกันบ้าง ล่าสุดเราก็รู้กันว่าเงินมันย้ายไปอยู่ที่โชว์ บางคนก็บอกว่าเงินมันย้ายไปอยู่ที่สปอนเซอร์ แล้วมีอีกอันก็คือมาจากยูทูป อย่างนี้แหละครับเงินมันค่อยๆ โผล่ขึ้นมา เราก็แค่หามันให้เจอว่าเงินมันย้ายไปอยู่ไหน
โชว์ในยุคนี้มีเยอะกว่าเมื่อก่อน ?
โอ๊ป: ผมว่านี่น้อยลงเยอะเลยนะ สมัยผมผับปิด 6โมงเช้า มันมีเงินที่ทำให้นักดนตรีอยู่ได้สบาย
พล: ตอนที่พี่โอ๊ปเล่าให้ฟังถึงรายได้นักดนตรีเมื่อก่อนผมตกใจมาก
โอ๊ป: อย่างอาทิตย์นึงผมเล่น 6 วัน วันละ 1 ชั่วโมง ได้วงละ 5 แสนบาท สบายมากๆ เพลงที่เล่นก็เป็นเพลงร็อคที่นิยมกันในยุคนั้น ตอนนั้นเล่นที่ฮอลลีวูด ช่วงนั้นมีวงนูโว, วงสวอน และวงไอเฟล เล่นอยู่ที่เดียวกัน ราคานี้สำหรับเล่นที่เดียวนะครับ แต่ผมเล่น 3 – 4 ที่ ผมว่าที่เขาจ่ายได้เพราะร้านเขาอยู่ได้ คืนนึงรายได้เขาเป็นล้าน แต่ถ้าถามตอนนี้ด้วยเศรษฐกิจอย่างนี้ ผมว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้
เดี๋ยวนี้เพลงมาไว ไปไว ?
เอก: ไวมากครับ ทำให้ความเป็นอมตะของเพลงลดน้องลง
พล: ใช่สิ่งนี้ก็ยังเป็นคำถามของพวกเราว่าจะทำเพลงให้เป็นอมตะอย่างนี้ได้ยังไง
โอ๊ป: เพลง เพียงกระซิบ ของวง ดิ อินโนเซนท์ ผมเคยเล่นตั้งแต่ผมยังไม่ออกอัลบั้ม ทุกวันนี้ยังดังอยู่เลย
ยักษ์: จริงๆ เวลาเราไปนั่งที่ร้าน เราก็ยังอยากฟังเพลงพวกนั้นนะ สมมุติว่ามีผู้หญิงขึ้นมาร้อง… ไม่อยากให้เธอต้องเจ็บ (เพลงไม่รักดี ของเปเปอร์แจม) โอ้ย! ขนลุกแล้ว
สาเหตุที่ทำให้เพลงขาดความอมตะ ?
พล: ผมว่าเมื่อก่อนกว่างานๆ นึงจะออกมาได้เขี้ยวกันแล้ว เขี้ยวกันอีก
ยักษ์: ใช่ๆ อย่างที่เราเคยถามพี่โอ๊ปกับพี่ปอยว่าตอนนี้กับสมัยก่อนต่างกันยังไง ทำไมตอนนั้นเขาคุณภาพ ให้พี่ปอยเล่าให้ฟังดีกว่า
ปอย: ตอนนั้นชุดแรกของผมได้ Featuring กับพี่เอ๋ XYZ ซึ่งพี่เอ๋ไม่เคยฟังเพลงของผมมาก่อน แกก็เอาไฟล์ไปแล้วก็ขอเวลาอาทิตย์นึง แต่แค่ 3 วันผ่านไปแกโทรมาบอกว่า โอเคจำเนื้อได้แล้วนะอีก 3 วันจะกำหนดอารมณ์นะ คำนี้ต้องสื่ออย่างนี้ใช่ไหม พอครบกำหนดวันเข้าห้องอัด 10 นาที เสร็จ! เพราะเขาทำการบ้าน ทุกอย่าง ทุกคำ ทุกพยางค์ของเราหมดแล้ว ซึ่งต่างกับเด็กสมัยนี้ที่เข้าห้องอัดยังถือเนื้อเข้าไปอัด ความเขี้ยวมันต่างกันมาก เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่พี่เต๋อสอนกันมา คุณก้าวเข้าห้องอัดไปเมื่อไหร่ ไม่มีสิทธิ์เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เพราะค่าเช่าห้องอัดเมื่อก่อนแพงมาก
โอ๊ป: ใช่ครับ… แพงมาก (ถอนหายใจ) ตอนนั้นผมเซ็นเช็คจ่ายค่าห้องอัดทุกวันเลย โครตแพง เสียเวลาไม่ได้เลย
ปอย: เพราะฉะนั้นกว่าการที่จะเข้าห้องอัดได้ คุณต้องทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว มันไม่เหมือนเด็กสมัยนี้ที่ชิลล์ๆ เดินเข้าไป แล้วหวังให้คน edit ให้ เพราะฉะนั้นความเข้มข้นมันเป็นคนละเรื่องกันเลย
โอ๊ป: เมื่อก่อนยุคพี่เต๋ออัดเพลงให้ทาทายัง ตอนมาที่ห้องอัดก็ให้เข้าไปเลยไม่มีซ้อม ร้องไป 2 เทค เหมือนกันเดี๊ยะ ไม่มีผิดเพี้ยน คือเขาทำการบ้านมาอย่างดีมากๆ
สิ่งที่ศิลปินยุคใหม่ขาด ?
พล: อย่างผมถูกพี่โอ๊ปเทรนมาเรื่องอัดกีต้าร์ เวลาอัดเพลงสไลด์เข้า สไลด์ออกยังไง โน๊ตที่ได้มันต้องเท่าเดิม ดันก็ต้องดันเท่านี้ ต้องโน๊ตนี้เท่านั้น pull on pull off โน๊ตนี้ดีด โน๊ตนี้ไม่ดีด ซึ่งพอเราทำบ่อยๆ มันก็กลายเป็นของติดตัว เด็กเดี๋ยวนี้เวลาอัดเข้า – ออกยังไงไม่รู้ อาจจะได้โน๊ตตัวเดียวกัน แต่มันไม่มีความละเอียด
โอ๊ป: มือกีต้าร์บางคนเวลาอัดเข้าตรงนะ แต่ออกยังไงเขายังไม่รู้ อย่างที่พลบอกไปเมื่อกี้ว่าโน๊ตอาจจะเท่ากัน แต่ 5 คนเล่นออกมาอาจจะไม่เหมือนกัน ผมว่ามันสะเปะสะปะ
พล: ล่าสุดผมไปเล่นงานพี่สิงห์ sqweez animal ก่อนงานผมก็ไปซ้อมกับพี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ตอนซ้อมพี่บอลก็เดินมาบอกว่า “กูไม่เคยเห็นคนเล่นกีต้าร์แบบนี้มานานแล้ว มีมึงไว้ซักคนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” เพราะสายเขาจะเน้น improvise แต่ผมทำไม่ได้ ผมต้องซ้อมมาต้องรู้ว่าตรงนี้เล่นยังไง ซ้อมกี่รอบผมก็จะเล่นแบบเดิม ผมว่าสิ่งนี้มันดีเพราะว่าเวลาเข้าห้องอัดมันทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น
นอกจากทำเพลงแล้ว ตอนนี้แต่ละคนทำอะไรกันบ้าง ?
พล: สิ่งที่ผมทำทุกวันเลยตอนนี้คือฟังเพลงที่ไม่เคยฟัง อย่างเช่นตอนนี้ผมฟัง The Weeknd หรือลองฟัง The XX ในหลายๆ อัลบั้ม และอีกหลายๆ วงครับ แต่หลักๆ แต่ก็จะเป็นการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพราะผมมองว่าพออายุเริ่มเยอะขึ้นมันมีผลนะ สมัยเป็น Clash เราทัวร์คอนเสิร์ต 10 ปี เรียกได้ว่าโตในรถตู้เลย กินนอน ทุกๆ อย่าง เล่นคอนเสิร์ตสะบัดหัวจนตอนนี้เริ่มมีปัญหาที่ต้นคอแล้ว เลยต้องหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น
ปอย: ผมดูซีรีย์ทุกวันเลยครับ ดูมา 6 – 7 ปีแล้ว ตอนนี้ดูเรื่อง person of interest มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแฮคเกอร์คนนึงที่เจอเหตุการณ์ 9/11 เขาเลยรู้สึกว่าไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว ก็เลยเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลแล้วเอามาวิเคราะห์ว่าใครที่มีโอกาสก่อการร้ายครับ
โอ๊ป: สำหรับผมตอนนี้มีความรู้สึกว่าผมอยู่ในสตูดิโอมาเกือบจะ 20 ปี ถือว่านานเหมือนกัน ก็เลยอยากกลับมาเล่นดนตรีครับ จนตอนนี้ก็ออกไปเล่นกับ Season Five ตอนแรกผมไปเล่นแทนเพราะมือคีย์บอร์ดพ่อเขาป่วย ผมก็เล่นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้เกือบจะ 2 ปีแล้ว ผมรู้สึกว่าการได้กลับมาเล่นดนตรีมันสนุก เพราะผมโตมากับการเล่นกนตรี
เอก: ส่วนผมออกกำลังกายครับ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าร่างกายแข็งแรงเวลาออกไปร้องเพลง มันทำให้ผมร้องได้ง่ายขึ้น เส้นเสียงก็คือกล้ามเนื้ออย่างนึง ถ้ามีการวอร์มก็จะทำให้เราร้องได้ดีขึ้น
ยักษ์: ตอนนี้ออกกำลังกายเท่าที่ได้อยู่ครับ เพราะร่างกายเริ่มเอาจริงแล้ว เมื่อก่อนใช้เปลืองไปหน่อย ตอนนี้ก็เลยสนุกกับการเลิกเหล้า, เลิกบุหรี่, กินคลีน หลายๆ คนก็สงสัยว่าเป็นไปได้ไงที่ผมเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อก่อนหนักมาก หนักจนแบบป่วยเพราะมัน ตอนนี้ก็กำลังออกกำลังกายแต่ไม่เยอะ เพราะว่ามีเรื่องของอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ทั้งหลังหัก ไหปลาล้าก็แตก ตอนนี้ม้ามก็ไม่มี ทำให้เข้าห้องผ่าตัดบ่อย นอกจากนี้ผมยังชอบดูหนังมาก แต่จะดูเรื่องซ้ำๆ ดูอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกครับในชีวิต ล่าสุดที่ผมไปดูมา The Good Dinosaur ผมชอบมากเลยอะไรแบบนี้ จินตนาการมันสนุกมากๆ และอีกอย่างผมชอบอ่านหนังสือ ชอบเสพงานของพี่วินทร์ เลียววาริณ เพราะว่าแกเอาเรื่องจริง กับเรื่องของแกมาผสมกัน อย่าง น้ำเงินแท้ หรือปีกแดง เป็นหนังสือที่สุดยอดมาก
ตอนนี้วาง position ของ BOXX MUSIC ไว้อย่างไร ?
ปอย: เราจะไม่ขีดเส้นเพลงของพวกเราเลย ถ้าถามว่าคอมเมอร์เชียลไหมมันก็ต้องมีบ้าง แต่ถ้าเทียบกับ 3 ค่ายในสหภาพดนตรี เราก็คอมเมอร์เชียลน้อยสุด
พล: ผมมองว่าเราอยากโฟกัสที่เรื่องเพลงโดยเฉพาะ เวลาเราทำเพลง มันก็ควรจะอยู่บนพื้นฐานที่ทุกคนเห็นด้วย โดยที่เราไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น ผมคิดว่า BOXX MUSIC มีความเป็นวัยรุ่นมากๆ มีความเป็นศิลปินอย่างเต็มเปี่ยม คือเรามองงานศิลป์เป็นหลัก แล้วเรื่องธุรกิจค่อยตามมา
ตอนนี้เพลงพร้อมหมดแล้ว ?
พล: ตอนนี้เบอร์แรกพร้อมแล้วครับ ส่วนที่เหลือกำลังประชุมกันอยู่ ความตั้งใจของเราตอนนี้คือเราไม่อยากทำเพลงเสร็จใกล้ๆ วันที่เพลงต้องปล่อย เพราะจะทำให้ครีเอทีฟหรือทีมโปรโมทมีเวลาทำงานน้อย แน่นอนว่าถ้าเป็นอย่างนั้นมันไม่ส่งผลดีแน่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาพวกเราเป็นแบบนั้น ครั้งนี้เลยทำงานเสร็จก่อนกำหนดเยอะเลย ผมคิดว่าเราต้องคิดใหม่ ต้องทำงานหนักขึ้นและเร็วขึ้น จะมาโอ้เอ้ไม่ได้อีกต่อไป
ในปี 2016 นี้ เราจะได้เห็นอะไรจาก BOXX MUSIC ?
พล: แน่นอนว่าจะได้เห็นศิลปินทั้ง 4 เบอร์ตอนนี้ เราได้วาง year plan ไว้แล้วว่าใครจะออกตอนไหน แล้วก็อาจจะมีเพิ่มเติมอีกซักเบอร์ 2 เบอร์ที่เรากำลังดูอยู่ นอกจากเพลงแล้ว BOXX MUSIC อาจจะมีรายการทีวีของพวกเราเอง แล้วเราก็จะเน้นไปที่กิจกรรมให้เยอะขึ้น เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าแก๊งค์ของ BOXX MUSIC นั้นเป็นยังไง
BOXX MUSIC
Facebook: https://www.facebook.com/boxxmusicteam/
RECOMMENDED CONTENT
หลังจากที่ Red Hot Chili Peppers ปล่อยทีเซอร์ปริศนาเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีที่พวกเขาส่งซิงเกิ้ลให้ลงหูคนฟังกับเพลง "Black Summer"