fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#Visit : “Scrubb” เส้นทางบนถนนสายดนตรีตลอด 15 ปีที่พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนไป
date : 24.ธันวาคม.2014 tag :

Scrubb Visit Dooddot Duo Pop Rock Band 1

“มันเป็นเรื่องของความสนุกสนานมากกว่า ซึ่งนั่นก็อาจจะมาจากตัวของเราเป็นหลัก เราไม่ได้มีทักษะแก่กล้าเป็นนักดนตรีจัดจ้านอะไรขนาดนั้นตั้งแต่แรก เราเหมือนเล่นดนตรีกันด้วยความสนุก ดนตรีที่ Scrubb ทำออกมา มันก็เป็นดนตรีที่ทำให้สนุก ได้ร้องได้เล่นอะไรกับเพื่อน”

Scrubb อายุเท่าไรแล้ว?

บอล : Scrubb ก็ถ้าปีหน้าจะครบ 15 ปีครับ ในนามวงเลยนะ จะเป็น 3 ปีแรกตอนที่ทำกันเองก่อนเข้าค่ายค่ายเป็นทางการ ส่วนทำกับค่าย Sony หรือกับ BEC Tero Music ปัจจุบัน ก็ 12 ปีแล้วครับ นานไหม? (นาน) ดูเหมือนแปปเดียวเนอะ พวกเราก็ยังตกใจอยู่เหมือนกัน

มาเจอกันได้อย่างไร?

บอล : ก็เป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่นครปฐม ในคณะที่เรียนผู้ชายจะไม่ค่อยเยอะมาก พวกผู้ชายที่มารวมตัวกันก็จะว่าด้วยเรื่องแบบเล่นดนตรี เล่นกีฬา ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปนั้นโน้นนี้กัน แต่ของเรากับเมื่อยจะมากกว่าชาวบ้านคือ เมื่อยเขาชอบแต่งเพลง จากเล่นดนตรีกันธรรมดากันปกติ วันหนึ่งเลยลองต่อยอดทำกันเล่นๆ พอเมื่อยจบก็เริ่มลองขายกันเองเล่นๆกันไม่ได้คิดทางการอะไร ลองขายกันเป็นเทป มีส่งประกวดก็ส่งประกวด  มีโปรเจคต์ของ aday ก็ไปร่วมงาน aday record มีงาน fat ก็ไปขอเขาเล่น คือเราก็เป็นเด็กกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในยุคช่วงแบบนั้นแหละ แต่พอสุดท้าย 3 ปี ทำไปทำมาก็กลายเป็นว่าเราได้มีโอกาสคุยกับทางค่าย “Black Sheep” ก็เลยได้ทำงานอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพลงแรกก็จะเป็นเพลง “ทุกอย่าง” จากที่ตอนแรกคือทำแค่คิดว่ามีค่าย ได้ทำอัลบั้มกันก็โอเคแล้ว แต่มาถึงตอนนี้ดูเลยเถิดไปหน่อย ปัจจุบันที่ทำมาก็รวมแล้ว 6 อัลบั้ม ก็ 12 ปี ที่อยู่กับค่าย BEC Tero Music มา

ความรู้สึกตอนแรกที่ทำเองขายเอง?

เมื่อย : มันสนุกครับ มันเหมือนเด็ก แต่จริงๆเราก็ไม่เด็กแล้วนะ ตอนนั้นที่เราเริ่มกันก็ 20 ต้นๆแล้ว คือมันเต็มไปด้วยความสนุกและความฝันอะครับ เราอยากมีเพลงของตัวเอง เราอยากลองดูว่าถ้า ถ้าคนที่ฟังเพลงเรา ไม่ใช่เพื่อนเรา เขาจะรู้สึกอย่างไร มันเริ่มจากที่พี่บอลบอกคือเราทำเทป 500 ม้วน ตอนนั้นยังเป็นม้วนเทป แต่จริงๆมันก็เริ่มมีซีดีแล้วแหละ มันเป็นยุคกึ่งๆ มันเริ่มซีดี ซีดียัง 400 500 บาท พอมีเทปในมือเราก็ไม่รู้จะทำยังไงให้คนได้ฟังงานเรา ก็เอาไปฝากขายตามพวกร้านเพลงพวกร้านโดเรมี ร้านเจยูพันทิพย์ ร้านดีเจสยาม  แล้วก็มีไปโพสตามพวกเว็บบอร์ด เว็บพันทิพย์ เว็บบอร์ดบ้าๆบอๆ คืออะไรก็ไม่รู้ล่ะตอนนั้น ทำเองกันหมด ปกก็เป็นเพื่อนที่เขาพอทำกราฟิกได้ก็ไปปริ้นอิ้งเจตบ้านเขา เอามาแพ็คกัน เอาไปขายกัน แม้แต่งานลอยกระทงในมหาลัยก็ขาย คือแบบไม่สนใจกาลเทศะอะไรทั้งสิ้นอะครับ ถ้าผมจำไม่ผิดเราทำมา 500 ม้วน หลอกขายไปได้สักประมาณ 200 กว่าม้วน ที่เหลืออีก 200 กว่าม้วนก็แจกเพื่อนๆ ที่เลยเถิดกว่านั้นคือเอาโปสเตอร์ไปแจกหน้าร้านโดเรมี ยืน พาน้องชายไปคนหนึ่งแล้วก็ ยื่นให้คนที่เขาผ่านไปผ่านมา ทั้งที่จริงๆมันคงไม่มีใครสนใจหรอก ก็เหมือนกับเรารับพวกโบรชัวตามสะพานลอย รับไปก็ไม่ได้อะไรเท่าไร แต่ก็นึกกลับไปก็สนุก แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลย ให้ทำตอนนี้ก็คงทำไม่ไหวแล้ว

ตอนเริ่มเรามีใครเป็น Influence หลัก?

บอล : สมัยผมถ้ายุคนั้นเลยจริงๆ ก็คงจะเป็น Moderndog นะ เป็นพวกค่าย Bakery ทั้งหมด คือมันไม่ใช่เรื่องเพลงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องแรงบันดาลใจ เรื่องวิธีคิดอะไรอย่างนี้ด้วย เพราะเราออกตัวเลยว่าไม่ใช่คนที่เล่นดนตรีเก่งมาก คือเราใช้หัดเอา ไม่ได้เรียนหรือเป็นอะไรที่มือออาชีพอะไร จะเป็นคนรู้สึกว่ามีปมด้อย เริ่มเล่นดนตรีช้า เก่งได้ไม่ทันเขา สมัยก่อนถ้าใครจะเล่นกีตาร์ต้องโซโลได้ไวเป็นไฟ ก็พยายามแกะนะ แต่ห่วยมาก พอมี Moderndog โผล่ขึ้นมา มันได้แรงบันดาลใจในแง่ที่ว่าไม่ต้องใช้ทักษะสูงก็ทำงานออกมาได้ คือทักษะมีก็ดีแต่ไม่ต้องสูงปรี้ด ถ้าคุณมีครีเอทีฟส่วนตัวของคุณเอง แล้วคุณสามารถหาวิธีนำเสนอในแบบทีคุณเป็น มันก็มีพื้นที่พื้นฐานของคุณได้เหมือนกัน ช่วงนั้นมันมี Nirvana ที่คล้ายๆกัน พวก Nirvana, Red Hot Chili Peppers คือตามจริงเขาก็เป็นคนเก่งกันมากนะ แต่วิธีนำเสนอของเขา มันทำให้เราเข้าถึงได้และง่าย พูดง่ายๆเขาเหมือนเป็นไอดอลของแก๊งขี้แพ้อย่างเรา ที่เล่นกีตาร์ไม่ได้แพรวพราว ก็ได้วิธีคิด เห็นช่องทาง เราชอบฟังอะไรที่มีเมโลดี้สวยจังหวะสนุก มีสัดสวนการเรียบเรียงที่ไม่ได้ยุ่งยากมากหรือซับซ้อนอะไร  ที่ชัดมากอีกวงก็คือ Blur ชุด Parklife ที่มันเป็นหมาวิ่งอะครับ ชุดนั้นเพื่อนอีกคนที่เป็นมือกีตาร์ชอบเอาเพลงมาให้แกะเล่น พอลองแกะมันเลยได้ศึกษา ในเรื่องของความเป็นBritish แบบอังกฤษอะไรบางอย่าง มันก็กลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ ฝั่งอเมริกา พวก Grunge เราก็ชอบ อังกฤษเราก็ฟัง เราอะไรที่มันง่ายๆ ชอบเมโลดี้ ชอบจังหวะฟังที่มันดูมินิมอลหน่อย ดูเรียบง่ายไม่มีอะไรแต่มันมีอะไรซ่อนๆอยู่ ก็หลักๆสองวงนี้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจในช่วงนั้น

เมื่อย : ผมเป็นคนที่คลั่งคนนี้มากเลย พราย ปฐมพร ปฐมพร ตั้งแต่เจ้าหญิงแห่งดอกไม้กับเจ้าชายแห่งทะเล เคยเห็นแผ่นซีดีเขามั้ย แผ่นซีดีเค้าโคตรสวยอะ มีหมดเลยครับปฐมพรทุกชุดเลย ถัดมาก็จะคล้ายๆพี่บอล ก็เป็นพวก Bakery อะไรพวกนี้ ก็เน้นไปชอบ Yokee Playboy ยิ่งชุดแรกที่ปกเป็นนมหนามเนี่ย จะชอบมาก ฟังได้ทั้งวันเลย อย่างโยคีเพลบอยก็จะเป็นแรงบันดาลในใจการแต่งเพลงด้วยในยุคแรกๆ ถ้าลองไปแกะคอร์ดของ Scrubb ดูก็จะมีคอร์ดของโยคีมากมายอยู่ในนั้น ผมพูดได้เต็มปากเลยนะ ว่าในยุคแรกเนี่ย ผมลอกเลย คือเพลงของโยคีจะชอบมีเมเจอร์เซเว่น หรืออะไรอย่างนี้ ผมก็เอาของเขามาเลย ก็ลอกแล้วก็แต่งเมโลดี้ของเรา ก็ทำเรื่อยๆ เริ่มจาการลอกก่อนเลย ชอบอันไหนเราก็ลอก เราก็แกะ เราอยากมีเพลงคล้ายๆแบบนี้ แต่เป็นเพลงของเรา

null

null

วิธีการทำงานของ Scrubb?

เมื่อย :  ก็ถ้าเอาง่ายๆคือ ผมจะขึ้นอะไรมั่วๆมาก่อน อาจจะเป็นแค่กีตาร์กับเมโลดี้ง่ายๆ หรือบางเพลงอาจจะมีเนื้อเพลงบ้าง พอมันได้สุดของเราแล้ว  เรารู้สึกเราได้แค่นี้ เราก็จะส่งต่อให้พี่บอล แล้วเพลงไหนที่มันสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้พี่บอลได้ พี่บอลก็จะหยิบไปทำต่อ เสร็จแล้วเราก็มาคุยกัน

อยากให้ช่วยพูดสักหนึ่งเพลงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อย : พี่บอลเอาเพลงไหน

บอล : เอ่อ… ถ้าชอบส่วนตัวมันจะมีอยู่ 3 เพลงที่มันคล้ายๆกัน แต่ในรายละเอียดไม่เหมือนกันซะทีเดียว ก็จะเห็นวิวัฒนาการของ Scrubb ก็ชอบ “ใกล้” “คู่กัน” แล้วก็ “เข้ากันดี” อย่าง “ใกล้” นี้เป็นเพลงสุดท้าย เพราะจริงๆตอนนั้นอัลบั้มมันจะปิดอยู่แล้ว แล้วพี่ฟั่น “โกมล บุญเพียรผล” (Producer ที่ทำงานร่วมกับ Scrubb กันมาตั้งแต่อัลบั้ม Ssssss….!) เขาบอกว่าอยากได้อีกสักเพลงที่มันกระฉึบกระฉับมาใส่ แล้วผมก็เข้าไปแจมเล่นๆยังไงก็ไม่รู้แล้วมันได้จังหวะ (เคาะโต๊ะ ปึบปึบป้าบ ป้าบ ป้าบ ป้าบ) เหมือนเป็นไกด์ Intro คร่าวๆของเพลง เราสามคนก็ช่วยกันขึ้นโครงกันสดมาก ช่วยกันกันวางท่อน วางฟอร์ม มีเมโลดี้  ตือ ตือ ดื่อ ดื่อ ดื๊อ ดื้อ ดือ ดือ ดือ ดือ ดื๊อ (ทำเสียงแบบทำนองตอน “ใกล้เกินกว่าที่จะพูดคำใดใด ออกไป)  พี่ฟั่นก็จะบรีฟว่าเอาโซโล่น้อยๆนะ โล่งๆฉึบฉับๆสบายๆนะ เน้นกระโดดสบายกัน แล้วก็แยกกันไปทำ วันรุ่งขึ้นเราได้เนื้อ ได้กีตาร์ ได้เมโลดี้ละ ก็มารวมกัน แล้วก็เป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มจริงๆ คือตอนแรกมันไม่ได้ติดชาร์ที่ไหนเลยนะ แม้แต่ชาร์ทของคลื่น Fat ที่เป็นคลื่นที่ปกติเราอาศัยอยู่ ยังติดอยู่ 20 กว่าๆปริ่มๆ มันออกมาแล้วไม่ดังเลย แต่เราชอบเพราะมันง่ายดีแล้วก็สนุกด้วย หลังจากนั้นสักปีสองปีมันมาของมันเอง กลายเป็นเพลงที่ไปขึ้นที่ไหนก็ต้องไปเล่น เหมือนมารู้ตัวว่ามันดังมาจากมีคนเอาไปเล่นในผับ งง ก็ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆน้องดนตรีทุกคนที่หยิบไปเล่น

เมื่อย: อย่างยิ่งเลยครับ

บอล: ถ้าอย่าง “คู่กัน”  จะอีกแบบหนึ่ง คู่กันเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่อยากให้เราทำเพลงให้ ธีมคือว่าด้วยเรื่องของอะไรที่มันคู่กัน จำได้ว่าพี่ฟั่นคิดโครงว่า อยากได้จังหวะตีแบบชัฟเฟิล (ตึก เต๊าะ ตึก เต๊าะ ตึก ตึก เต๊าะ) แบบโยนๆ ทำเมโลดี่ขึ้นมา แด้ แด่ แด แด แด้ แด แด่ (เดินผ่าน มองคนไม่รู้จัก) วันนั้นก็เหมือนกันอีกคือทำทุกอย่างจบเสร็จหมดแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเมื่อยกลับไปเนื้อ  พี่ก็ต้องไปเตรียมคอร์ทเตรียมกีตาร์เตรียมอะไรมา ทำร่วมกันเลยแล้วก็ทิ้งคีย์แมสเสจอะไรบางอย่าง “อาจเป็นเพราะคู่กัน” แล้วเมื่อยก็ไปจบมาเป็นท่อน “เดินผ่านมองคนไม่รู้จัก”  วันนั้นจำได้ว่ากลับไปนอนบ้านเมื่อยด้วย นอนไปตื่นมาเค้าก็ทำเสร็จแล้ว

เมื่อย: ของขึ้นครับ (หัวเราะ)

บอล: แต่จริงๆนะ เวลาบางอย่างถ้าอะไรมันจัดเตรียมดีๆ ขึ้นโครงด้วยความรู้สึกแล้วเราจัดการมันได้อย่างถูกจุดถูกเวลา มันค่อนข้างไหลอย่างต่อเนื่องนะ ถ้าเคสสุดท้ายคือ “เข้ากันดี” อันนี้จะตลกหน่อย เมื่อยก็ยังทำเหมือนเดิม เมื่อยเป็นคนชอบฮัมจังหวะเพลงขึ้นมา แต แด แด๊ แด แดแด่ แด (ไม่เคยคิดเลย ว่าจะเจอ กับวัน…)

เมื่อย: เป็นเดโมแบบจางๆอะครับ

บอล : เราฟังแล้วฉึบฉับๆ มาก ผมชอบเมโลดี้ เลยลองเอาไปใส่ส่วนอื่นๆต่อ แล้วเพลงนั้นจริงๆ มันจบแค่ “เข้ากันดีอย่างที่หัวใจบอกไว้” คิดว่าฮุกแล้วแต่มันยังไม่ฮุก พี่ฟั่นบอกว่ามันต้องพีคกว่านั้นอีก ถึงมีท่อนที่ว่า “ฉันไม่เคยเจอใคร” ขึ้นมา เป็นการคิดร่วมกันตอนนั้น แล้วที่พิเศษคือพี่ฟั่นแกก็พูดมาตั้งแต่ชุดแรกแล้วว่า การเป็นมือกีตาร์ที่ดีอะ ในชีวิตนี้มันควรจะต้องมี Riff เป็นของตัวเองสักครั้งหนึ่ง Riff ก็คืออะไรก็ตามที่มันเป็นหมัดฮุคที่มันจำติดหูได้ เหมือนเพลงนางแมวอ่ะ “ตึง ตึ้ง ตึ้ง ตึง เต่อ ดึง เด้อ ดึง” หรือ Intro บุษบาก็จะอีกแบบหนึ่ง “ตึง เต้อ ดึง เตอ เตอ เด้อ ดึง” เขาพูดตั้งแต่ชุดแรกเลยนะ บอก มึงต้องหัดมี Riff สิวะ อย่าเอาแต่ตีคอร์ด เราก็จะตีคอร์ดท่าเดียวอะไรอย่างนี้ ตอนนั้นก็คิดออกแล้วเอามาฟังกัน ไม่คิดว่าจะดังอะไรเลยนะ คิดว่าแค่รู้สึกภูมิใจนะว่าเราทำ Riff นั้นออกมาได้ แต่มันไม่มีอะไรเลยแค่เอาคอร์ดที่เมื่อยทำไว้แล้ว มาแตกออกให้เป็นโน้ต คือจากที่จับ Cmaj7 Bm7 Amaj7 ตำแหน่งของ Riff จะอยู่ตรงนั้นหมดเลย แทนที่จะดีดลงไป “แตรง” ก็เปลี่ยนเป็นโน๊ต “แต่ง แต่ง แตง แต๊ง แตง” อันนี้ก็ได้วิธีแบบ Red Hot Chili Peppers คือหนึ่งมันเป็น Funk สองมันเป็นเทคนิกการข้ามสาย ถ้าใครชอบเรทฮอทจะรู้เพราะว่า John Frusciante เค้าจะใช้เทคนิคนี้บ่อย เรียกว่าสตริงสกิปปิ้ง คือการเล่นอีกสายหนึ่งแล้วข้ามไปอีกสายหนึ่ง สะบัดกระเด้งไปกระเด้งมา เหมือนเวลาฟัง Can’t Stop จะรู้เลยว่าฟิวลิ้งจะอารมณ์ประมาณนั้น มันก็เป็นวิวัฒนาการที่ได้มา แต่ทั้งหมดจะเริ่มจากเมโลดี้ในหัวของเมื่อยเสมอๆ เมื่อยเป็นคนที่เขาฮัมอะไรแล้วชอบอัดเก็บ ครั้งนึงเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันแล้วได้ยินเค้านั่งฮัมเพลงเก็บไว้กับเธอ แล้วแฟนเราก็เป็นคนทักว่า เพลงที่เมื่อยฮัมเล่นในร้าน See Scape เพราะมาก ผมก็โทรไปหาเลย เออ เมื่อย ไอ้เพลงที่ฮัมๆตรงเคาเตอร์ See Scape มันคือยังไงนะ แล้วเค้าก็อัดๆมาให้ฟัง แต่แด้ว แตแดววว แด้ แดว…..

คือเราจำได้ด้วยว่าฮัมอะไรออกไปตอนไหน?

เมื่อย : มันเป็นบางเพลง ครับบางเพลง (หัวเราะ) 

บอล : เมื่อยมันฮัมเพลงเต็มไปหมด เค้าเป็นคนชอบฮัมโน้นฮัมนี้ไปเรื่อย เราก็ค่อนข้างโชคดีที่มีเมื่อยเป็นต้นน้ำที่มีวัตถุดิบอยุ่เรื่อยๆ แล้วเราก็แค่มาคอยจับจังหวะเขาอ่ะ ชอบอันไหนก็เกี่ยวมาทำเพลง แบบอันนี้ขอ อันนี้ขอ ครั้งนึงเค้าเคยทำเพลงแถมกับเสื้อ เป็นเพลงบรรเลง “Inchan Tree” เราก็บอกเลยอย่าเอาไปแถม กูขอ (หัวเราะ) จะเอาไปทำต่อ เพราะมันคิดออกพอดี

เมื่อย : ผมเคยขายเสื้อยืดในอินเตอร์เน็ตอยู่พักหนึ่ง แล้วอยากให้คนใส่เสื้อยืดฟังเพลงเราที่มันมีแต่ทำนอง ผมคิดว่าถ้าใส่เสื้อแล้วฟังเพลงเราไปด้วย คงมีความสุขน่าดู แต่ฟังดูมันเพี้ยนๆนะ (หัวเราะ)

บอล : จริงๆเป็นความคิดที่ดีนะ เป็นเพลงประกอบการใส่เสื้อ บางทีของที่เขาเผลอหน่อย ของที่เขากะไม่ได้ส่งแล้วบังเอิญเราไปได้ยินเอง ไปขอมาหลายทีเหมือนกันอะไรอย่างนี้

null

null

คิดว่าสิ่งนี้ข้อดีในการทำงานของ Scrubb เลยรึเปล่า?

บอล: ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้หมดนะ ในหลายๆเพลงที่เราคุ้นๆกัน อย่าง “เก็บไว้กับเธอ” ก็ประมาณนี้  “See Scape” เมื่อยขึ้นกับพี่ฟั่น “คำตอบ” เอามาให้ฟัง แล้วก็ช่วยกันขึ้นโครง เหมือนเมื่อยเป็นคนที่ชอบคิดไอเดียเริ่มต้นคร่าวๆ เราจะเป็นคนชอบฟังเพลงหลายๆแนวไว้เป็นวัตถุดิบ ฟังดนตรีไว้ แล้วไปจับจังหวะดูว่าจังหวะเมื่อไหร่ที่เจอเมโลดี้ที่เมื่อยกำลังทำแล้ว มัน Click กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องหนึ่งที่ Scrubb จะกล้าพูดนะว่าเราได้อิทธิพลหรือแรงบันดาลใจมาจากใคร เหมือนอย่างเมื่อยกล้าพูดเลยว่าช่วงแรกที่แต่งเพลงไม่ออก ก็ลอกคอร์ดของพี่โป้ โยคีเพลย์บอย หรือเราก็กล้าพูดเลยว่าเราหยิบเอาวิธีการเล่นแบบ Frusciante มาเล่น เราได้แรงบันดาลใจมาก็จริง เพียงแต่ว่าตอนเราทำเราไม่ได้ฟังมาเหมือนกันไง อย่างเมื่อยคิดอะไรออกมาเมื่อยก็มีอะไรที่เมื่อยชอบอยู่ พอมาถึงเราบางทีมันเหลือแค่เมโลดี้ ทำนองมันเปลี่ยนไปหมด สุดท้ายมันก็ไปจบห้องอัดต้องไปเจอกับพี่ฟั่นอีก ซึ่งตัวพี่ฟั่นเองก็ฟังอะไรที่ไม่เหมือนเรา เขาก็จะมีเสียงอะไรในหัวที่เขาอยากได้ เพราะฉะนั้นเรากล้าพูดนะว่าเพลงไหน เพลงไหน เราได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร แต่เราจะมีทางรู้ว่ามันไม่มีทางออกมาเหมือนเพลงนั้นแน่นอน เพราะเราทำด้วยกันสามคนที่ไม่มีใครเหมือนกัน เวลาฟัง Scrubb ทุกคนก็จะไม่รู้สึกว่าเพลงนี้จะไปเหมือนใคร แค่รู้สึกว่าคุ้นนั้นจังคุ้นนี้จัง ได้กลิ่นนั้นจัง แล้วพอถอยออกมาให้ดู นี้ไงเมื่อยชอบอันนี้  นี้ไงพี่ชอบอันนี้ คนก็จะอ้อ อ้อ อ้อ พอโตมาเราเรียนรู้ว่าข้อดีของ Scrubb คือเราใช้วิธีนี้ในการทำงาน ข้อดีมันดีตรงที่ว่าเรากล้าพูดว่ามันทำงานภายใต้แรงบันดาลใจจริงๆแต่ละคนมีแรงบันดาลใจไม่เหมือนกัน เมื่อนำมารวมกันในความชอบของตนเองมันก็ไม่มีทางออกมาเหมือนต้นฉบับเดิมหรอก แต่สมมุติเรากับเมื่อยชอบฟัง Red Hot เหมือนกันฟัง Red Hot พร้อมกัน ขึ้นเพลงด้วยกัน อินอะไรไปพร้อมๆกันเนี่ย เราว่ายังไงก็ตาย เพราะฉะนั้นที่ทุกวันทำกันอยู่ส่วนมากอาจจะแค่บอกว่าชอบแบบไหนกัน แต่พอใครจะเริ่มงานตัวเอง เราจะแยกกันเริ่ม  เหมือนทุกคนจะซ่อนกันไว้ว่าแต่ละคนมีอะไรที่อยากกลับไปทำเตรียมกัน พอมาเจอกัน แรงบันดาลใจมันมาจากคนละที่ พอรวมกันแล้วมันจะได้ของใหม่ที่เป็นของเราอะไรอย่างนี้

เล่าถึงความรู้สึกตอนเล่นสดครั้งแรก?

เมื่อย : (หัวเราะ) จำได้แต่ว่าเละมาก

บอล : เละครับ ถ้าเอาตอนเป็นวงทางการ มีค่ายแล้ว คอนเสิร์ตครั้งแรกก็คือไปเป็นวงเปิดให้ Armchair ครับ ที่โรงเรียนจันทน์หุ่นบำเพ็ญ สมัยนั้นจากที่ตอนแรกเล่นกันในมหาลัยมันซ้อมตามประสาเด็กอยากเล่น  ส่วนตัวมันรู้สึกว่าตอนนั้นความรับผิดชอบมันไม่ต้องอ่ะ  เล่นตอนนั้นเหมือนเล่นอะไรก็ไม่ได้สนใจ เอาสนุกเข้าว่า ความจำครั้งแรกตอนเล่นครั้งแรกที่นั่น คือแม่งเสือกเป็น Scrubb แล้วนะ มีทุกอย่าง มีคนรู้จักแล้ว มีค่ายเพลงแล้วนะ ไปครั้งแรกแม่งมันใจมากเลย โอ้ โห เละ (หัวเราะ)

มันเป็นยังไง?

บอล : ก็เด็กขึ้นเวทีอะครับ ระบบมอนิเตอร์ ระบบเซ็คนั้นโน้นนี้ เอฟเฟ็คสายแจ๊ค คือมันไม่มีประสบการณ์อะไรเลยอ่ะ ไม่ดังไปก็เบาไป ไม่ได้ยินเลย แล้วก็หอนพีค เล่นกันในโรงอาหารอารมณ์ประมาณว่าใต้เพดานใต้ประชุมใต้ตึก เตี้ยๆ ก้องๆ อะไรอย่างนี้ แล้วก็ซัดกัน ทุกคนก็ไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพมาก่อนอ่ะมือใหม่หมดอุปกรณ์ข้าวของก็มีไม่มาก คือตอนนี้เราโคตรไม่อยากจำเลยอ่ะ ว่าเล่นอะไรออกไปบ้าง แต่จำความรู้สึกได้คือมันเละมาก โห แล้วเปิดให้ Armchair อารม์แชร์ตอนนั้นนี่กำลังแบบ  “รึเปล่า”  กำลังพีคเลยอ่ะ โอ้โห้  เหมือนเทวดากับซาตาน (หัวเราะ)

เมื่อย: เขาดัง หล่อ สูง

บอล: อ้วนกับโย่งกำลังแบบว่าตัวท็อปเลยอ่ะ เราแม่งเล่นเสร็จก็เฟลๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ว่าอ่อจะเล่นดนตรีในสเต็บแบบนี้ต้องเรียนรู้กันไปอีกเยอะอ่ะ ยังไงก็ตามพวกนี้มันเป็นทักษะที่ฝึกกันได้ เอาความผิดพลาดตรงนั้นค่อยๆพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้

เทียบกับโชว์ครั้งล่าสุดตอนนี้?

บอล : ครั้งล่าสุดตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องของความมั่นใจป่ะครับ เป็นเรื่องของประสบการณ์ แล้วก็เป็นเรื่องของความสุขของการเล่นด้วย เมื่อก่อนเราคาดหวังว่า ความสุขมันคือคนดูต้องมากันเยอะ ต้องมาสนุกต้องเฮตลอดเวลาอะไรอย่างนี้ แต่ครั้งล่าสุดก็เล่นที่สระบุรี เป็นงานดูฟุตบอล บรรยากาศก็จะดีสวยๆหน่อย แล้วก็เป็นลานเบียร์เล็กๆคนดูก็ไม่เต็มนะเพราะว่ามีบัตรด้วยมีเดอะวอยส์ด้วย แต่ในคนดูสามสิบสี่สิบคนนั้นมันก็แบบสนุกอะ เดี่ยวนี้คือความสุขไม่ได้เกี่ยวกับคนดูมากคนดูน้อยแล้ว ในเรื่องทักษะมันก็เป็นธรรมดา เล่นดนตรีมานานขนาดนี้แล้ว เรื่องระบบ เรื่องความพร้อม เรื่องทีมงานมันก็ช่วยเสริมให้เราทำโชว์ที่ดีออกมาได้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องการสื่อสารนะตอนเล่นกับคนดูกับสภาพสิ่งแวดล้อม ประเด็นมันคือว่าถ้าสนุกกันเองได้ พลังงานจะส่งไปถึงคนที่มาดูเรา จะเวทีใหญ่หรือลานเบียร์คนก็ลุกมาเต้นมาเฮฮากันได้

คิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ Scrubb ให้กับแฟนๆที่มาดู?

เมื่อย  :  อย่างส่วนตัวผมก็คงจะเป็น ถ้าง่ายๆก็คงจะเป็นความสนุกมั้ง ผมรู้สึกว่าคนมอง Scrubb ถ้าความคิดผมนะ เขาจะมาเพราะอะไรไม่รู้ แต่รู้เพราะว่าเขาอยากเต้นรำกับเรา อะไรอย่างเนี้ย ก็เคย อยากจะฝืนวงให้เป็นแบบนั่งฟังเพลินๆเหมือนกันนะ แต่สุดท้ายมันเหมือน คือถ้าย้อนกลับไปที่คำถามว่า แต่ก่อนกับตอนนี้รู้สึกยังไง ผมก็คงจะบอกว่าแต่ก่อนผมคิดถึงแต่ตัวเองเยอะ แต่เดี่ยวนี้ก็คิดถึงคนฟังเยอะกว่าอะไรอย่างเนี่ย เพราะว่าเหมือนเราเล่น เราใส่ไปเยอะแล้ว เยอะจนไม่รู้ยังไงแล้วอ่ะ นอกนั้นก็ทำยังไงก็ได้ให้คนที่มาดูเราทุกครั้งเขาสนุกกลับไปด้วยวีธีไหนก็แล้วแต่ อย่างน้อยไม่ต้องมาลึกซึ้งกับเนื้อเพลงว่าเราร้องอะไรก็ได้ แต่มาถึงคุณเต้นรำสนุกกับเรา ผมก็โอเคแล้ว เราอาจจะเป็นวงที่ ต้องเป็นอย่างงั้นด้วยล่ะมั้ง ด้วยเพลงที่เรามี ด้วยภาพรวมที่เราเป็นอะไรอย่างนี้ ก็คงเน้นไปอย่างนั้นอ่ะ

null

สำหรับพี่บอล อะไรที่เราให้กับแฟนๆ 

บอล : คล้ายๆ กันครับ  อย่างที่บอกว่า บางทีเราไม่ได้คิดเองอ่ะ  คนไม่ได้คาดหวังมารอฟัง Scrubb ให้เล่นดนตรีละเมียดๆร้องเพลงเพราะๆอะไรอย่างเนี้ย เคยพยายามลองจะทำดู แต่สุดท้ายเราเป็นวงที่อย่างน้อยๆ มันก็ต้องโยกได้ มากหน่อยก็กระโดดโลดเต้นได้ เป็นเรื่องของความสนุกสนานมากกว่า ซึ่งนั่นก็อาจจะมาจากตัวของเราเป็นหลัก คือเราไม่ได้ละเมียด เราไม่ได้มีทักษะแก่กล้าเป็นนักดนตรีจัดจ้านอะไรขนาดนั้นตั้งแต่แรก เราเหมือนเล่นดนตรีกันด้วยความสนุก ดนตรีที่ทำออกมา มันก็เป็นดนตรีที่ทำให้สนุก ได้ร้องได้เล่นอะไรกับเพื่อน คือมันเริ่มมาจากความรุ้สึกพื้นฐานในการทำงานแบบนั้น เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ เพลงที่มันอยุ่ในลิสต์ของพวกเราส่วนใหญ่ มันเป็นเพลงที่ฟังแล้วเอาไว้ Relax ไว้ผ่อนคลาย ไว้กระโดดโลดเต้นร้องตามกัน คิดว่าคนมาฟัง Scrubb คงไม่ได้แบบว่า แหมอันนี้เพราะจังเลยดนตรี แบบว่าโซโลสวยงามมาก ร้องแบบว่าเอื้อนหว๊านหวานอะไรแบบเนี่ย (หัวเราะ)

เมื่อย: (หัวเราะ) เห้ย อะไรวะเนี่ย!?

บอล: แบบนี้ไม่มีครับ ไม่มีแน่นอน (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเป็นว่าวันนี้ Scrubb สนุกจัง ได้กระโดดกับ Scrubb เต้นรำกัน

เมื่อย: อุปสรรคอย่างเดียวก็คือตอนนี้พวกเราอายุมากขึ้น

มีผลมากรึเปล่า?

เมื่อย :มีผลครับ มันเหนื่อยง่ายขึ้นแล้วก็เลยต้องฟิตร่างกาย

ทำยังไง?

เมื่อย : ก็ออกกำลังกายสิครับ (หัวเราะ) ทำยังไงก็ได้ให้มันสดชื่นมากที่สุด มอนิเตอร์ตัวเองโดยการกลับไปดูคลิปเก่าๆของตัวเองเหมือนกันนะ ว่าสมัยก่อนมันสนุกกว่านี้ มันอะไรกว่านี้ แต่ว่าด้วยที่เราโตขึ้น เราคงจะไปกระโดดโลดเต้นแบบตอนงาน aday แบบเนี่ย ให้ทำมันก็ทำได้แต่คงแบบ เป็นการหลอกลวงแล้วล่ะ เราเต้นเท่าที่เราทำได้ดีกว่า

Scrubb เคยมีย้อนกลับไปมองงานตัวเองแล้วรู้สึกไม่ชอบไหม?

เมื่อย : หมายถึงเพลงที่เราทำมาเหรอ ผมรู้สึกว่าเพลงของ Scrubb มันเป็นเหมือนบันทึกประจำวัน ประจำอัลบั้มแต่ละอัลบั้ม

บอล : อะไรที่เป็นตอนนั้น มันก็คือตอนนั้น

เมื่อย : ใช่ โอเค ตอนนั้นเราคิดแบบนี้นะ ตอนนี้เราคิดอย่างนี้นะ ซึ่งผมว่ามันก็เป็นความทรงจำที่ดีเลย มันแน่นอนว่าบางทีต้องมีแบบ โอ้โห เราแต่งเนื้อเด็กน้อยขนาดนี้เลยเหรอวะเนี้ย แต่ก็เป็นตอนนั้นอ่ะ อาจจะมีบ้าง ตอนนี้ผมจะ 38 แล้ว ให้ผมร้องในสิ่งที่ผมพูดตอน 25 มันก็แน่นอนว่าผมก็ต้องมีเขินบ้างนะ แต่สุดท้ายแล้วผมก็คิดว่า เราก็แค่พูดสิ่งที่เราเคยพูดแต่ก่อนที่มันเป็นความคิดเราอยู่แล้ว แต่เราจะพูดอย่างไร ให้เหมือนเราเล่าเรื่องนิทานให้คนฟัง เราก้ต้องเล่าให้มันน่าตื่นเต้นให้ได้ มันก็มี มันก็มีช่วงที่รู้สึกฝืนๆเหมือนกันนะครับ แต่ว่าพอมันคิดได้แล้ว มันก็ทำออกมาได้

ซึ่งเสน่ห์การเล่าเรื่องตอนนี้กับตอนนั้นต่างกัน?

เมื่อย : ก็แน่นอนครับ เป็นตามธรรมชาติ ก็ผมว่าคิดง่ายๆนะ เหมือนเราย้อนมองดูรูปเราตอนสิบปีที่แล้วอะ แบบโหย ทำไมกูแต่งตัวแบบนี้วะเนี้ย ผมว่าเรื่องเดียวกันอะ แต่ว่าเราจะโชว์รูปนั้นโดยเราไม่รู้สึกอายได้อย่างไร ช่วงแรก ผมก็มีช่วงแอบยากเหมือนกันนะ แบบกูเคยแต่งตัวแบบนี้เว้ย ดูดิแม่งโคตรเลย ตอนนั้นกูรู้สึกว่ากูโคตรเท่เลยอะไรอย่างนี้ กลับมามองอีกที โห เราแต่งตัวอย่างนี้เลยเหรอวะ มันอยู่ที่เราจะคิดครับ

มีกระบวนการวิธีการ ทำยังไงครับถ้าคนไม่เอ็นจอยตามลิสที่เราเตรียมมา ?

บอล : Scrubb ไม่เคยเปลี่ยนลิสต์นะ ไม่เคยเปลี่ยนลิสต์ระหว่างทางหรือไม่เคยแบบ อุ้ย ไม่สนุกแล้วแบบเปลี่ยนเพลงตื้ดๆมาเล่น หรือเอา Medley ดีกว่า พูดถึงเวลามีผับมาจ้างไปเล่น เราก็เป็นวงที่เหวอมากอันหนี่งนะ (หัวเราะ) ก็คือแม้ในปัจจุบันเพลงเราจะเยอะแล้วก็จริง แต่ย้อนไปสมัยเพลงยังน้อยๆมีแค่เพลง “ทุกอย่าง” ที่คนฟังติดหูเงี้ย สิ่งที่เมื่อยยืนยันเสมอๆคือ เมื่อยไม่อยากเล่นเพลงคนอื่นมากเกินไป คือรู้ว่ามันไม่ดีหรอก มันก็เป็นเด็กดื้อประมาณหนึ่งอะนะ ลูกค้าเขาก็จ้างเรามาเล่น เขาก็อยากสนุกกับคนดูใช่ป่ะ แต่เมื่อก่อนนี่แบบชั่วโมงหนึ่งเล่น 12 เพลง จะมีเพลงฮิตเราอยู่ 3 เพลง ส่วนอีก 6 เพลงก็เป็นเพลงในอัลบั้มที่แบบ (หัวเราะ) ในผับไม่มีทางรู้จักอะ อาจจะมี Cover นิดๆหน่อยสักสองเพลง

เมื่อย : คนฟังก็นั่งอึนๆ กันไป

บอล : อึนแบบ อึนมหาอึนเลยอ่ะ นึกออกมั้ย แต่ว่าเราเลือกแล้ว เมื่อก่อนก็รู้สึกนะว่า เห้ย เมื่อยเราควรเอาเพลงที่มันเอ็นเตอเทนคนฟังหน่อยรึเปล่าวะ เราก็กลัวเค้าเบื่อไง แต่เมื่อยก็รู้สึกว่า เห้ยถ้าเรามีเพลงของเรา มันก็ต้องควรเล่นเพลงของเรา คือทุกวันนี้เวลาเล่นโชว์ก็อาจจะมีเพลง Cover เพลงหนึ่งหรือไม่เกินสองเพลง แต่เรามองว่าเป็นกิมมิกหรือเซอร์ไพรระหว่างโชว์ คือไม่ได้หยิบมาเล่นเพราะหาประโยชน์จากเพลงนั้นๆ เพลงนั้นจะเป็นเพลงเอนเตอร์เทนก็ดี จริงๆการเล่นเพลงตัวเองอย่างเดียวมันอาจจะย้อนเป็นที่มาว่าสุดท้ายเราก็พยายามทำเพลง ที่เราชอบ ที่เราออกไปเล่นแล้วเราสนุกกับมันได้ตั้งแต่แรก แล้วก็เอาสะสมใส่เข้าไป เมื่อกี้คำถามคือถ้าไม่สนุกทำไงใช่มั้ย

ใช่ครับ

บอล : อดทนครับ เล่นให้จบ (หัวเราะ) ก็เป้นประสบการณ์ลงมาจะได้รู้ว่าเล่นไม่สนุกเพราะอะไรเล่นไม่ดีเพราะอะไร

เมื่อย : ผมว่าวงดนตรี จริงๆไม่ควรเล่นเพลง Cover เยอะจนเกินไป เพราะว่าอย่างน้อยถ้าเพลงไหนของเรายังไม่เป็นที่นิยม เราก็ควรจะยิ่งนำเสนอ ไม่ควรจะไปพึ่งวิทยุอย่างเดียว ผมเชื่อว่ามันเป็นทางออกที่ดีของวง คือในระยะยาวนะ

ไม่ใช่ว่าเพลงไหนไม่เวิร์ค ก็แอบไว้ก่อน?

เมื่อย : ครับ ก็ผมว่าผมคิดแบบนั้นนะ แล้วก็ทุกวันนี้ Scrubb ก็แอบเป็นวงที่ Cover น้อยมากเหมือนกัน ก็อาจจะมีสักเพลงสองเพลง ซึ่งเราก็ทำอย่างนี้มาหลายปีแล้ว แล้วก็มันก็พิสูจน์อะไรหลายๆอย่างว่า อย่างน้อยที่ชัดๆก็คือเราก็เป็นวงหนึ่งที่เล่นเพลงคนอื่นน้อยอ่ะ แล้วก็มันน่าจะเป็นเคล็บลับอะไรบางอย่างให้คนอยากจะดูโชว์เรา เพราะเราก็จะเล่นเพลงของเรา

รู้สึกอย่างไรที่ต้องเล่นเพลงเดิมซ้ำไปมาเป็น 10 ปี?

เมื่อย : อันนี้ก็เคยคุยกับพี่บอลเหมือนกัน วงเราเคยเลิกไม่เล่นเพลง “ทุกอย่าง” ไปเลยนะ สักพักใหญ่เลยใช่มั้ย เป็นปีเลยเนอะ

บอล : ใช่ ตอนนั้นหยุดไปเลย

เมื่อย : ก็ด้วยเหตุผลเหมือนแบบนักดนตรีทั่วๆไปแหละ แต่สุดท้ายก็จะตอบคล้ายๆกับสิ่งที่ผมพูด คือ สุดท้ายแล้วมันก็คือเพลงของเรา เราไม่ใช่วงที่ให้คนอื่นมาแต่งให้ เราจะทำอย่างไรให้คนรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่เล่นเพลงเก่าๆ ของเรา อย่างผมก็มีพี่ๆ Moderndog เป็นอาจารย์ได้เลย เขาสามารถเล่นเพลงเก่าๆของเขาได้ โดยที่มันมีพลังอ่ะ แล้วเขาก็ ทำได้ทุกครั้งด้วย แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่าไม่อยากฟังเพลงเก่าของเขา

null

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการเป็นนักดนตรีอาชีพ?

บอล: ส่วนตัว ผมว่าทุกอาชีพเลยครับ มันเป็นเรื่องการหาความรู้เพิ่มเติมและการฝึกฝน ปกติเวลาจะทำงานใหม่หรืออะไรใหม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็จะไปร้าน cd ไปกว้านซื้อ cd มาฟัง โชคดีเดี๋ยวนี้ยังมี itunes หน่อย ผมก็ไปกวาดต้อนซื้อ หาอะไรที่คนแนะนำแล้วมันน่าสนใจ อย่างล่าสุดผมเจอแบบ playlist 50 อันดับ ซิงเกิ้ล ของ NME ที่เค้าจัดไว้ให้ปีที่แล้ว เราดูลิสต์ เราก็รู้สึกว่าไม่รู้จักใครเลยอะ นอกจาก Taylor Swift (หัวเราะ) วิธีการของผมก็ยอมเสียเงินโหลดมาทุกเพลงอะ 50 เพลงนั้นมาฟัง แล้วเป็น playlist แล้วก็เปิดให้มัน Shuffle ไป

ก็ยังฟังเพลงใหม่ๆตลอดเวลา?

บอล : ตามฟังครับ จริงๆโดยอาชีพเพราะว่าเราทำเพลงเองแล้วก็ทำค่ายเพลงด้วย เราต้องรับ input อะไรบางอย่าง ว่าเดี๋ยวนี้คนเค้าสนใจอะไรอยู่ เสียงแบบไหนที่มันเป็นเสียงใหม่ที่เราไม่เคยได้ยิน หรือเสียงอะไรที่มันถูกหยิบมาใช้ใหม่ เวลานั่งทำงาน นั่งอ่านหนังสือ นั่งทำอะไรไป แล้วเราก็จะเปิด Shuffle เพลง คือเราจะทำอย่างนี้ทุกชุดนะ ทุกๆครั้งก่อนจะเตรียมทำงานอะไรก็แล้วแต่อย่างนี้ จะไปหาเพลงอะไรก็ตามให้มันเยอะที่สุดที่เราไม่รู้จัก ที่เราคิดว่าน่าสนใจแล้วก็ฟังเยอะๆ อันไหนที่มันไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่มันสะดุดหูมากๆ ก็จะเซฟไว้เป็น Favorite แล้วก็จะไปแยกฟังในเลเยอร์นั้นให้ละเอียดเข้าไปอีก ส่วนดนตรีถ้าจะเสริมก็คงเป็นเรื่องการฝึกฝนอะไรอย่างนี้ Scrubb วงที่ซ้อมบ่อยหน่อย เพราะเราก็จะรู้ตัวเองอยู่เสมอว่าเราก็ไม่ได้เก่งมาก อาทิตย์นึงก็ต้องมีครั้ง 2 ครั้งในเดือนๆนึงคนที่ทำงานกับ Scrubb ก็แบบต้องขยันมาซ้อมหน่อย ได้เจอกันบ่อย ได้ซ้อมกันบ่อย แต่ว่ายิ่งซ้อมมากมันก็ดีกับวงดนตรี คืออย่าประมาทรวมๆ เป็นอย่างนั้นมากกว่า

สำหรับพี่เมื่อยล่ะครับ ถ้ามีนักดนตรีเด็กที่โตขึ้นมาเราจะบอกอะไรเค้า?

เมื่อย : ก็อย่างแรกที่ผมอยากบอกก็คือ ผมรู้สึกว่า ถ้าเด็กคนไหนชอบอะไร ก็เต็มที่เลยครับ ชอบปุ๊ปจะลองลอกเค้า ก็ไม่ผิด เพราะมันเป็นการเริ่มต้น มันก็ไม่ต่างเหมือนเวลาเราชอบแฟชั่น เราก็ต้องแต่งลอกจากหนังสือก่อน แต่พอ ณ ถึงจุดนึงถ้าเราอินมันจริงๆอะ มันก็จะกลับมาเป็นตัวเราเองโดยอัตโนมัติอะครับ ผมเชื่อว่าทุกวันนี้คนฟังสครับก็ไม่ได้นึกถึงโยคีเพลย์บอย เหมือนอย่างยุคแรกๆแล้ว เพราะว่าผมคิดว่าเราทำเราพัฒนามาเรื่อยๆ ไม่ใช่แบบเอ้ย เอาแล้ว โยคีย์เพลย์บอยเราลอกหมดแล้ว เราจะหาวงอะไรลอกต่อดีวะ อะไรอย่างนี้ เราอินไปกับมันปุ๊ป แล้วเราก็ทำไปเรื่อยๆแต่งของเราไปเรื่อยๆ มาวันนึงมันก็จะเห็นทางของเราเอง โดยไม่ต้องทำอะไร บางคนอาจจะใช้เวลานานหน่อย บางคนอาจจะใช้เวลาสั้นหน่อยก็แล้วแต่ ความถนัดอย่างนี้ ผมคิดว่าถ้าน้องๆ อยากทำอะไร ชอบอะไร ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็ลองลอกเค้าดูก่อน ลอกเค้าเพื่อรู้ว่ามันคืออะไร นอกจากลอกแล้วถ้าเป็นผม ผมจะเยอะลงไปอีก ลงไปดูต่อว่าเอ้ยคนที่เราลอกเค้าชอบอะไรวะ นึกออกมั้ยว่าทุกคนจะมีต้นแบบหมด สมมุติเราชอบยกตัวอย่าง Nirvana อย่างนี้ Nirvana ชอบอะไร เราก็ไปฟังต่อ Nirvana เคยคัฟเวอร์เพลงของ David Bowie อะไรอย่างนี้ เค้าอาจจะชอบ David Bowie เราก็ไปฟังต่อ แล้วก็ David Bowie ไปถึงใครๆๆอีก ก็ไปเรื่อยๆตามแต่ความสามารถ แต่สุดท้ายผมคิดว่าวันนึง โดยธรรมชาติทุกคนต้องการมีตัวตนของตัวเองอยู่แล้ว จะรู้เองว่าไอ้ตรงนี้มันเป็นแค่เข็มนำทางเราอย่างนี้ วันนึงเราก็จะมีเข็มของตัวเอง มันจะหลุดมาเองโดยอัตโนมัติ อยู่ที่ว่าจะเข้มข้นกับมันแค่ไหน ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ

นอกจากเล่นดนตรีแล้วทำอะไรกันบ้าง?

บอล: ของเราก็จะมีทำงานค่ายเพลงด้วยครับ ทำงานกับค่าย Believe Records แล้วก็ทำร้านอาหารกับเพื่อนเล็กๆที่บ้านแถวนครปฐม มีร้านทำแบบเอาสนุกแต่ตอนนี้ไม่สนุกแล้ว (หัวเราะ) เริ่มเป็นร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็มีถุกมือจักยานเพราะว่าเป็นของกิจกรรมที่เราชอบ มันเป็นถุงมือวินเทจเล็กๆ อันนี้ยังเล็กๆอยู่ เพื่อนอีกคนเป็นคนดูแล ก็หมดและ

 เมื่อย ของผมก็นอกจากเล่นดนตรีก็ยังเล่นดนตรีอยู่ครับ (หัวเราะ) ก็มีวงดนตรีอีกวงนึง ชื่อ popdub เป็นวง Instrumental ที่แบบไม่มีเนื้อร้อง ก็รวบรวมทำกับเพื่อนๆพี่ๆที่ชอบ แล้วก็เล่นกัน คือเอาเวลาว่างจาก Scrubb มาทำวงนี้ ลองไปหาดูครับ แล้วก็มีทำกับพี่โลเล (Lolay ศิลปินร่วมสมัยชื่อดังของเมืองไทย) ผมตั้งจัดเป็นกลุ่มอีเว้นท์ขึ้นมาชื่อว่า DOOD ก็จะหาวงดนตรีที่เราชอบ แต่เค้าไม่มีโอกาสจะได้เล่นในที่ทั่วๆไป ส่วนมากก็จะเป็นนักดนตรีนอกกระแสอะไรอย่างนี้ ก็มารวมพวกนี้ มาหา จัดอีเวนท์ให้เค้า ก็จะอยู่ในกลุ่มๆนี้อะไรอย่างนี้แหละครับ

15 ปีของการทำงานในวงการนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?

เมื่อย : ส่วนตัวผมเห็นว่าน้องๆเดี๋ยวนี้เค้ามีทางออกเยอะขึ้น เค้าสามารถทำเพลงขายเองได้ ผมรู้สึกว่ามันยิ่งผ่านไปแต่ละปีมันยิ่งสนุกอะ เพราะว่าตอนนี้เค้าสามารถทำวงดนตรีได้เอง แล้วก็มีน้องอีกตั้งหลายกลุ่มเริ่มจัดอีกเวนท์เล่นดนตรีกันเองซึ่งมันเป็นเรื่องดีมากเลยนะ อาจจะมีข้อเสียของกลุ่มพวกนี้คือมันยังหารายได้จริงจังไม่ได้ แต่ผมว่ามันก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ผมเคยรู้จักนักดนตรีญี่ปุ่นคนนึง เค้าก็เล่าให้ฟังว่าที่ญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็ยังไม่รู้จักดนตรี Instrumental มาก่อนเลย จนทุกวันนี้มันเติบโตจนมันเป็นแขนงหนึ่งที่มันแข็งแรง ผมคิดว่า โอเค ตอนนี้เราอาจจะเหมือนญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งพอมันใช้เวลาเรียนรู้เค้าก็จะมีที่อยู่ของเค้าอะ เถิบไปอีกหน่อยเมืองไทยก็อาจจะเป็นอะไรอย่างนั้น มีตัวเลือกให้ฟังมากขึ้น ผมก็ยังคิดเหมือนแต่ก่อนนะ ว่าอยากให้เมืองไทยมีดนตรีหลายๆแบบ แล้วก็ในหลายๆแบบนั้นอยากให้ทุกแบบหากินได้ด้วยอะ นักดนตรีมีรายได้มีที่เล่น เค้าก็สามารถพัฒนาสิ่งที่เค้าคิดต่อได้ ไม่ใช่แบบตั้งวงเจ๋งๆขึ้นมาวงนึง พอเล่นไป 5 ปีไม่มีรายได้ สุดท้ายทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานประจำ แล้วไอ้สิ่งแนวคิดตรงนี้ มันก็กระจายหายไป ผมจะแคร์เรื่องนี้มาก อยากให้น้องๆทุกคนมีที่เล่น มีที่เล่นให้เค้าได้พัฒนา

บอล: ของเราก็อาจจะเป็นสเต็ปต่อจากเมื่อยนะ เพราะว่าเราคลุกคลีอยู่ในธุรกิจเพลงอะ ทุกวันนี้จริงๆ สิ่งแวดล้อมหรือสังคมคนเล่นดนตรีมันดีขึ้นนะ แนวเพลงหรือว่าอะไรมันมันถูกคลี่ออกมาหมดแล้ว ถ้าตัดเรื่องธุรกิจออก ทุกอย่างทุกแนวเพลงมันเกิดขึ้นได้หมด มันไม่ถูกผูกขาด เด็กทุกคนมีสิทธิทดลองทำอะไรก็ได้อย่างที่เมื่อยบอก แต่ว่ามันกลายเป็นว่าบางทีพี่พูดได้ 2 ฝั่ง เพราะเราเป็นคนที่เล่นอยู่ด้วยแล้วเป็นคนที่นั่งทำงานอยู่ในค่ายเพลงด้วย บางทีมันเกิดเด็กบางกลุ่มที่มีแนวคิดหรือรู้สึกว่า Anti-Lebel อะ แบบค่ายเพลงคือคู่ปรปักของ Pure Art หรือ Pure Music คือเราก็ไม่ได้ต่อต้าน เราไม่ได้ห้ามนะ จริงๆแล้ววงดนตรีเหล่านี้ ค่ายเป็นคนเดินไปหาด้วยซ้ำ เดินไปชวนมาทำงาน แต่คุณต้องยอมรับว่าทุกๆอย่างมันมีเงื่อนไขของมันอะ ถ้า Passion ของคุณคือการเล่นดนตรีเพื่อตอบสนองจิตวิญญาณหรือตอบสนองแรงบันดาลใจ หรือตอบสนองอะไรที่เป็นตัวคุณล้วนๆ โอเค ทำไปเลย ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือทำที่ไหนก็ได้ นานแค่ไหนก็ได้ ถ้าคุณมีความรับผิดชอบและดูแลตัวเองได้ ทำอะไรก็ทำไป แต่สิ่งที่อยากบอกคือค่ายเพลงมันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะว่าเมื่อถึงจุดๆนึงอย่างที่เมื่อยบอก บางวงก็ต้องการการเติบโตต่อ บางวงก็ต้องการทำงานต่อยอด ว่าดนตรีของพวกเขาเอาไปทำอะไรได้อีก มี Challenge มีความท้าทายใหม่ๆเพิ่มขึ้นอย่างนี้ ค่ายมันก็เป็นทางเลือกนึงที่สุดท้ายแล้วการทำงานแบบที่เป็น Commercial Music มันก็ต้องมีค่ายเข้ามาซัพพอร์ท พี่สุกี้เองขนาดหยุดไปสิบปีกลับมาทำ เค้าก็ยังบอกเลยว่า ถ้าคุณจะทำงานในธุรกิจเพลงนะ คุณไม่มีค่ายไม่ได้หรอก

เมื่อย: สุดท้ายมันอยู่ไม่ได้

บอล: คือ Social มันเป็นโลกเสมือนที่หลอกลวงอะ เมื่อดูวงที่ Success จากโซเชี่ยลนี่ในเปอร์เซ็นทั้งหมดทั้งโลก มันอาจจะมีให้เรารู้จักเต็มไปหมด แต่มาเทียบดูจริงๆน้อยมากๆ เพราะสุดท้ายคุณไม่รู้หรอกว่าโปรโมเตอร์เค้าทำงานยังไง คุณไม่รู้หรอกว่ามาร์เก็ตติ้งเค้าทำงานยังไง เค้านำพาคุณไปอย่างไหน คือมันไม่มีถูก ไม่มีผิด เพียงแต่ว่าดูที่เป้าหมายก่อน ถ้าเป้าหมายคุณคือการตอบสนองจิตวิญญาณ อยากทำอะไรคุณทำไปเลย แต่ถ้าคุณต้องการทำมาหากิน ต้องการทำผลงานเพลงที่มันต่อยอดได้ คุณก็ต้องทำงานเป็นทีมมากขึ้น ที่เราบอกก็คือ จริงๆแล้วคุณไม่ต้องมีค่ายก็ได้ คุณจะทำงานเองก็ได้ มีโปรโมเอง มีมาร์เก็ตติ้งเอง ทำเองก็ได้ สุดท้ายทุกคนมันต้องมีเป้าหมาย มีวาระ มีภารกิจของแต่ละสเต็ปการเติบโต แต่อย่างที่เราเจอบ่อยๆทุกวันนี้คือ “ค่ายเพลงแม่งร้ายกาจ” “ค่ายเพลงแม่งเอาเปรียบ” ค่ายเพลงแม่งนั่นนี่อะไรอย่างนี้ ก็อาจจะจริงส่วนนึง แต่อีกส่วนนึงก็ไม่จริงเสมอไปหรอกพี่เต๋อเป็นคนพูดเองว่าเค้าทำธุกิจเพลงนะ แต่ธุรกิจเพลงของเค้ามันคือการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล คนที่จ่ายเงินก็รู้สึกว่าฉันยินดีจะจ่าย เพราะฉันได้รับความรื่นรมย์นั้นจากเงินที่ฉันจ่ายไปนั้นกลับมา เหมือนบางวงเราเห็นเราชอบเค้ามาก แต่เรารู้ว่าถ้าเอาเค้ามาเข้าค่ายอะ เค้าก็ด่าเราเปล่าๆ เราไม่สามารถต่อยอดเค้าไปได้ คือเค้าโตเต็มที่กว่านี้ได้อีกนิดหน่อย มันก็สุดเพดานอย่างที่เค้าอยากทำแล้วแล้ว ค่ายไม่สามารถเอาอะไรไปต่อยอดได้ งั้นการทำงานกับวงดนตรีสมมุติถ้าเค้ามี 5 แต้ม ถ้าเค้ามาอยู่ค่ายเค้าต้องได้ 8 แต้ม ได้ 10 แต้ม แต่สมมุติเค้ามี 5 แต้มของเค้าเองละนะ เราเอาเค้ามาอยู่ค่ายเนี่ย เค้าได้ 6 แต้ม 7 แต้ม ซึ่งวันนึงอีก 2 ปีเค้าอาจจะทำได้เองตอนอยู่นอกค่ายก็ได้ เพราะฉะนั้นค่ายเพลงส่วนใหญ่เราอย่าเซ็นวงเหล่านี้มาอยู่ให้เค้าด่าเราเปล่าๆ เพราะคำถามมันจะเกิดขึ้นว่า ค่ายแม่งไม่เห็นทำอะไรให้เลย จริงๆมันอาจจะเกิดจากการเซ็นสัญญาที่ผิดพลาด เกิดจากการมองที่ผิดพลาดว่า สิ่งที่ดูปัจจุบันคือ เราจะดู Passion เด็กหรือเด็กก็ต้องดู Passion ตัวเองว่าเราอยากไปไกลแค่ไหนอะไรอย่างนี้ แล้วก็อย่าดูถูกค่าย เพราะสุดท้ายเราเป็นพวกเดียวกันนะ ค่ายเพลงก็เป็นองค์กรดนตรีองค์กรนึงเท่านั้นเอง ก็จะห่วงเรื่องแบบนี้ แต่รวมๆแล้วโอเคครับ ทุกอย่างมันได้คลี่ออกหมดแล้ว ใครจะทำอะไรก็ได้ ใครจะรู้ว่าอีก 5 ปี ดนตรี instrumental อาจจะเป็นดนตรีที่ได้รับความนิยมมากในบ้านเราก็ได้

null

Scrubb จะให้อะไรกับแฟนเพลงในอนาคต?

บอล: ให้อะไรกับแฟนเพลงเลยเหรอ โอ้ โห

เมื่อย: ให้ความชราครับ (หัวเราะ)

บอล: แบบว่า เราขอสัญญาว่าอะไรอย่างนี้เหรอ ก็คงให้เสียงเพลงนะ สิ่งที่เราทำได้และถนัดที่สุดก็น่าจะเป็นเสียงเพลง เป็นเพลงเป็นดนตรีของเรา แต่เราคงไม่กล้าบอกว่าเพลงของเรามันจะเป็นเพลงที่ดีที่สุดหรอก เพราะความชอบมันก็ชี้วัดไม่ได้ใช่ไหมครับ เรายังเชื่อว่าเราก็ยังทำงานกันอยู่แล้วก็ยังทำงานในแบบที่เราชอบ ตามประสบการณ์ ตามความตื่นเต้น ตามแรงบันดาลใจที่เราได้รับในแต่ละช่วงเวลที่ผ่านเข้ามา ถ้าเมื่อยบอกมันเหมือนไดอารี่ ก็คือ Scrubb ยังคงเขียนไดอารี่กันอยู่ แต่ว่าไดอารี่นั่นๆมันจะมีคนชอบมากชอบน้อยหรือไม่ชอบเลยมันอยู่ที่คนฟัง จะดีหรือไม่ดี ต้องให้คนฟังเป็นคนตัดสิน เราไม่กล้าพูดเอง ว่าข้าจะกู้ชาติอะไรแบบนั้น

เมื่อย: (หัวเราะ) ข้าจะครองโลกอะไรอย่างนี้ ไม่ขนาดนั้นๆ

Writer: Pakkawat Tanghom
Photographer: Pakkawat Tanghom

RECOMMENDED CONTENT

9.พฤษภาคม.2023

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมี Florence Pugh ผู้ไ ด้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ซึ่งรับบทเป็นจิตแพทย์จีน แทตล็อก เช่นเดียวกับ Benny Safdie, Josh Hartnett, Rami Malek เรียกได้ว่านักแสดงเบอร์ใหญ่ทั้งนั้น