ไม่ว่าคุณจะเป็น Café Hopping หรือสาย K-Beauty ก็ต้องกริ๊ดให้กับการมาของ Original คาเฟ่สีชมพู้ ชมพูอย่าง STYLENANDA PINK HOTEL BANGKOK ซึ่งถือว่าเป็น Flagship Store ของแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชื่อดังจากแดนกิมจิที่ Exclusive สุดๆ เพราะเป็นร้านแรกในเมืองไทยและใน Southeast Asia! แน่นอนว่าพิเศษขนาดนี้ มีหรือที่ Dooddot จะพลาด ไม่ไปเก็บภาพบรรยากาศสุดคิ้วท์มาให้ได้ดูกันว่า ทั้ง 4 ชั้นของโรงแรมสีชมพูแห่งนี้มีคอนเซปท์เก๋ๆ อะไรบ้าง
1 FL. – PINK WONDERLAND
ราวกับหลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในร้าน ด้วยคอนเซ็ปท์สวนสนุกสุดหวาน ที่มีดีเทลการออกแบบให้เหมือนที่ขายตั๋วเครื่องเล่น จึงทำให้สาวๆ รู้สึกราวกับได้อุ่นเครื่องก่อนจะไปผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์ที่เราจะได้เจอในชั้นต่อๆ ไป
2 FL. — WHITE MILK ZONE
สำหรับชั้นนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คของการถ่ายรูปที่สาวๆ จะพลาดไม่ได้ ด้วยทีเด็ดของชั้นนี้ที่ Photo Zone สุดอลังมากกก กับ Mock Up ขนาดใหญ่ของ LOVE 3CE Collection ในหลากหลายสีสันคัลเลอร์ฟูล สไตล์ยูนิคอร์นที่มาแรงสุดๆ ไม่เพียงแค่โซนถ่ายรูปทั้งนั้นแต่ในชั้นนี้ยังมี Make Up ของ 3CE ในทุกคอลเล็กชั่นที่นำเข้าในไทยให้ทุกคนได้เล่นสนุกกันอย่างจุใจแบบไม่หวงเทสเตอร์อีกด้วย
3 FL. — LAUNDRY ROOM
มาถึงชั้นที่ 3 กับเสื้อผ้าดีไซน์เท่ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ STYLENANDA ในบรรยากาศสุดชิลล์ของห้องซักรีด ให้สาวๆ รู้สึกสบายๆ ในการเลือกเสื้อผ้าและเม้ามอยกับเพื่อนสาวไปได้ในขณะเดียวกัน
4 FL. — PINK POOL CAFÉ
และแล้วก็มาถึงชั้นสุดท้ายกับไฮไลท์ของ STYLENANDA PINK HOTEL BANGKOK กับคาเฟ่สุดชิคในคอนเซ็ปท์สระว่ายน้ำสไตล์วินเทจที่มาพร้อมกับ Photo Zone ที่จะทำให้สาวๆ เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเหมือนกับว่า ได้ออกไปชิลล์ริมสระว่ายน้ำแม้จะอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมกับดื่มเครื่องดื่มห้ามพลาดอย่าง PINK POOL CAFÉ SIGNATURE MENU และอีกหลายเมนูที่อร่อย หน้าตาดี ไปเพิ่มดีกรีความน่ารักให้ไอจีของสาวๆ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า PINK HOTEL BANGKOK จะเป็นที่แฮงค์เอ้าท์สุดฮิตแน่นอน
STYLENANDA PINK HOTEL
Location: สยามสแควร์ ซอย 5
Instagram: STYLENANDATHAILAND_OFFICIAL
Facebook: STYLENANDA THAILAND OFFICIAL
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย