fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#Beauty | 5 ทริกเลือกครีมกันแดด ใช้ได้ทุกวัน ผิวไม่หมองคล้ำ แถมดูสุขภาพดี
date : 3.พฤศจิกายน.2023 tag :

หนึ่งในไอเทมที่เราควรพกติดตัวและใช้เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะวัยไหน หรือเพศไหนก็ตาม ก็คือ ครีมกันแดด (Sunscreen) เพราะในแสงแดดที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน มีรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี ทั้งยูวีเอ ยูวีบี รังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้าหรือ HEV ที่เป็นอันตรายต่อชั้นผิว ทำให้ผิวของเราไหม้ หมองคล้ำ แถมเกิดริ้วรอยได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น สิว ฝ้า จุดด่างดำ ฯลฯ และยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกและมะเร็งผิวหนังด้วย นอกจากนี้รังสีต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อชั้นผิวยังแฝงอยู่ในแสงนีออนจากหลอดไฟ แสงหน้าจอต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ตที่เราใช้เป็นประจำทุกวัน เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในร่มหรือกลางแจ้งก็ต้องเจอกับอันตรายจากแสงอยู่ดี

ดังนั้นครีมกันแดดที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสีต่างๆ ปกป้องชั้นผิว พร้อมสะท้อนรังสีและแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายออกไปจากผิวของเรา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ไม่ได้ออกแดด ก็ต้องทาครีมกันแดดนั่นเอง เมื่อเราต้องใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน สิ่งที่ต้องใส่ใจจึงไม่ใช่แค่การทาให้ได้มากที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติและส่วนผสมด้วย เพราะหากเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีคุณสมบัติปกป้องสารรังสีต่างๆ ที่อยู่ในแสงได้ดีพอ ถึงแม้จะทาไปเยอะแค่ไหน ความหมองคล้ำ และริ้วรอยก็ยังคงเกิดขึ้นได้อยู่ดี วันนี้เราเลยขอมาแชร์ทริกสำคัญในการเลือกครีมกันแดดที่มีคุณภาพให้ทุกคนได้รู้ มั่นใจได้เลยว่าหากทำตามนี้แล้วผิวจะไม่หมองคล้ำ แถมยังสร้างผิวให้สุขภาพดีในระยะยาว ตามมาดูกันเลย! 

1. ครีมกันแดดที่ปกป้องชั้นผิวได้ดี ควรมีค่า SPF50+ และ PA+++

สิ่งแรกๆ ที่เรามักจะได้ยินหรือเห็นในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดก็คือค่า SPF และ PA เคยสงสัยกันไหมว่ามันคือค่าอะไร ทำไม SPF 50+ และ PA+++ ถึงเป็นค่าในครีมกันแดดที่ถือว่าดีที่สุด และหลายคนมักจะแนะนำ ที่นี่มีคำตอบให้แล้ว 

SPF 50+ ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีบีได้สูง

ค่า SPF คือค่าที่ช่วยบอกระดับการป้องกันชั้นผิวจากรังสียูวีบี หากครีมกันแดดมีค่า SPF สูงก็หมายความว่า ครีมกันแดดนั้นสามารถช่วยปกป้องชั้นผิวเราจากแสงแดดและแสงต่างๆ ได้มาก โดยระดับของ SPF ในครีมกันแดดจะแบ่งเป็น SPF 15 สามารถกรองรังสียูวีบีได้ร้อยละ 93 SPF 30 สามารถกรองรังสียูวีบีได้ร้อยละ 97 และ SPF 50 สามารถกรองรังสียูวีบีได้ร้อยละ 98 ซึ่งเป็นค่าสูงสุดในระดับที่เราควรใช้ หากต้องอยู่ท่ามกล่างแสงแดดจ้า และอยู่ในที่ที่มีแสงจากหลอดไฟและหน้าจอเยอะนั่นเอง 

 

PA+++ ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีเอได้สูง

ค่า SPF ต้องตีคู่มาพร้อมกับค่า PA ที่มีเครื่องหมายบวก (+) ตามมาข้างหลัง โดยค่า PA+ ในครีมกันแดด จะมีความหมายว่าสามารถปกป้องชั้นผิวจากรังสียูวีเอได้มากกว่าปกติ 2 เท่า เป็นการป้องกันระดับเริ่มต้น ส่วน PA++ มีความหมายว่าสามารถปกป้องชั้นผิวจากรังสียูวีเอได้มากกว่าปกติถึง 4 เท่า เป็นการป้องกันในระดับปานกลาง สุดท้ายคือค่า PA+++ คือ สามารถป้องกันและปกป้องชั้นผิวจากรังสียูวีเอได้มากกว่าปกติถึง 8 เท่า ซึ่งถือเป็นค่าที่สูงมาก ดังนั้นในการเลือกครีมกันแดดหากสามารถเลือก PA ที่มี + เยอะมากเท่าไหร่ ก็มั่นใจได้ว่าครีมกันแดดจะช่วยปกป้องชั้นผิวของเราจากแสงได้มากเช่นเดียวกัน

 

2. สารสกัดในครีมกันแดดควรปกป้องผิวจากแสงได้อย่างครอบคลุม

อย่างที่เราบอกไปในตอนต้นว่าในแสงแดดหรือแสงไฟประกอบไปด้วยรังสีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นยูวีเอ ยูวีบี รังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้าหรือ HEV แสงเหล่านี้ก่อให้เกิดริ้วรอย ความหมองคล้ำต่างๆ รวมถึงมะเร็งกระดูกและผิวหนังได้ ในบางผลิตภัณฑ์อาจเลือกใช้สารสกัดที่สามารถป้องกันได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจจะป้องกันได้แค่ยูวีบี แต่ไม่ป้องกันยูวีเอ ป้องกันการเกิดริ้วรอย ไม่ทำให้ผิวไหม้ แต่ไม่ป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นเพื่อให้เรามีผิวที่สุขภาพดีมากที่สุด ป้องกันอันตรายจากแสงได้ดีที่สุด จึงควรเช็กคุณสมบัติของครีมกันแดดว่ามีสารสกัดที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม เช่น ในครีมกันแดดหนึ่งตัว ควรประกอบไปด้วยค่า SPF50+ และ PA+++ ซึ่งเป็นค่าที่สูงสำหรับป้องกันยูวีบีและยูวีเอ ควรมีสารคาร์โนซีน เปปไทด์ที่ช่วยปกป้องและลดการถูกทำร้ายของผิวจากรังสีอินฟราเรดและแสงสีฟ้า (Blue Light) เป็นต้น

 

3. ครีมกันแดดต้องไม่มีสารที่เสี่ยงต่ออาการแพ้ หรือทำให้เกิดการระคายเคือง

สำหรับเด็ก ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย และผู้ที่กำลังมีปัญหาผิว ต้องใส่ใจในการเลือกสารสกัดในครีมกันแดดเป็นพิเศษ เพราะสารสกัดบางชนิดเสี่ยงทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เช่น สารจำพวกพาราเบน ไซคลิก ซิลิโคน สารลดแรงตึงผิวกลุ่มซัลเฟต น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ ฯลฯ ซึ่งมักจะมีฤทธิ์กัดกร่อนผิว ทำให้ผิวระคายเคืองนั่นเอง ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้อครีมกันแดดควรเช็กก่อนว่ามีสารสกัดที่ทำให้แพ้ง่ายดังกล่าวหรือไม่ และเลือกมองหาสารสกัดที่อ่อนโยนต่อผิวแทน เช่น สารสกัดที่เป็นออร์แกนิก ไม่เจือปนสารเคมี ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ เป็นต้น 

 

4. เลือกเนื้อครีมกันแดดที่กันน้ำได้ดี (Water Resistance)

อยู่ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย การมีเหงื่อไหลตามกรอบใบหน้าและร่างกายเป็นเรื่องปกติมาก ไหนจะสายแอดเวนเชอร์ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือชอบออกกำลังกาย อย่างเช่นการวิ่ง หรือว่ายน้ำ หากจะเลือกครีมกันแดดทั้งที จึงควรเป็นครีมกันแดดที่สามารถกันน้ำและกันเหงื่อได้ดี โดยต้องได้รับการทดสอบว่าสามารถปกป้องผิวขณะว่ายน้ำได้นานประมาณ 40-80 นาทีขึ้นไป จึงจะมั่นใจได้ว่าเมื่อทาไปแล้ว ระหว่างวันครีมกันแดดจะไม่หลุดลอกได้ง่าย นอกจากนี้ครีมกันแดดที่กันน้ำได้ดียังเหมาะกับสาวๆ หรือคนที่ต้องแต่งหน้าเป็นประจำ เพราะครีมกันแดดที่กันน้ำ จะทำให้เมกอัปของเราติดทนได้ดี แต่งหน้าแล้วเป๊ะสวยนานยิ่งขึ้น

 

5. เลือกครีมกันแดดที่ช่วยบำรุงผิวได้ด้วย 

สำหรับคนที่กำลังมีปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นจุดด่างดำ ริ้วรอย หรือสิว หากได้ทาครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวและแก้ไขปัญหาในแต่ละจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาผิวที่มีอยู่ก็จะหายได้ไวขึ้น แถมยังเสริมชั้นผิวให้แข็งแรงขึ้นอีก เรียกได้ว่าเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่คุ้มค่า ทั้งปกป้องและบำรุงไปในตัวนั่นเอง เช่น เลือกครีมกันแดดที่มีสารรักษาระดับความชุ่มชื้นเพื่อผิวแลดูสุขภาพดี ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของริ้วรอย หรือครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องและปลอบประโลมผิวจากการระคายเคืองที่เกิดจากมลภาวะ เป็นต้น 

 

และนี่คือ 5 ทริกสำคัญในการเลือกครีมกันแดดที่เรานำมากฝากทุกคนกัน ซึ่งเป็นทริกที่ไม่ยากเลย ขอแค่ใส่ใจกับการเลือกผลิตภัณฑ์ เช็กสารสกัดและคุณสมบติให้ถี่ถ้วน ทั้งค่า SPF ค่า PA+ ครีมกันแดดป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้ครบถ้วนหรือไม่ เนื้อครีมกันแดดกันน้ำได้ดีแค่ไหน มีสารที่เสี่ยงต่อการแพ้หรือช่วยบำรุงได้ดีหรือไม่ เพียงเช็กให้ครบตามนี้ รับรองว่าทุกคนจะได้ครีมกันแดดคู่ใจสำหรับใช้ใน Everyday ที่จะช่วยให้ผิวของเราไม่หมองคล้ำ ชั้นผิวมีความแข็งแรง พร้อมสร้างผิวให้สุขภาพดีได้ในระยะยาว