
ท่ามกลางความจอแจวุ่นวายของเมืองกรุงเทพฯ คุณรู้หรือไม่ว่ามีร้านน้ำชาอันสวยงามเงียบสงบแห่งหนึ่งรอต้อนรับให้คุณเข้าไปสัมผัสความผ่อนคลายเป็นส่วนตัว หลีกหนีจากวิถีชีวิตอันเร่งรีบอยู่ไม่ไกลเลย? ร้านน้ำชาที่เราจะพาชาว Dooddot ไปรู้จักกันในวันนี้มีชื่อว่า “อะกาลิโก” (Agalico) ชื่ออาจจะฟังดูแปลกหูสักหน่อย เพราะคำว่า “อะกาลิโก” นั้นเป็นภาษาบาลี แปลว่า “ไม่ยึดติดกับเวลา” และเมื่อคุณได้เข้ามาที่ร้านแห่งนี้ คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศและเฟอร์นิเจอร์สีขาวที่ใช้ตกแต่งทั้งร้าน ให้ความรู้สึกดูสบายตาและอบอุ่น เหมาะแก่การมานั่งจิบน้ำชายามบ่ายคนเดียวเงียบๆ มากับคนรัก หรือมานั่ง hangout พูดคุยสบายๆกับกลุ่มเพื่อน พร้อมทานขนมหวานแบบโฮมเมดแท้ๆอย่างเพลิดเพลิน
ร้านน้ำชาสไตล์อังกฤษที่ผสมผสานกลิ่นอายความเป็นเอเชียหน่อยๆอย่างอะกาลิโกแห่งนี้ เกิดจากแรงบันดาลใจของเจ้าของร้านที่ต้องการให้ร้านมีบรรยากาศผ่อนคลาย นั่งสบาย แลดูอบอุ่นเหมือนนั่งพักผ่อนอยู่กับบ้าน โดยมีสวนธรรมชาติให้คนเมืองกรุงได้มาสัมผัส ถือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่เหมาะมากๆสำหรับใครที่ชื่นชอบการนั่งตามร้านที่มีบรรยากาศและการตกแต่งสวยๆไม่เหมือนใคร
เมื่อเข้ามาในตัวร้าน เราจะเห็นได้ว่าทั้งร้านนั้นตกแต่งด้วยโทนสีขาวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ โซฟา ตู้โชว์ หรือเครื่องเรือนต่างๆ ซึ่งแทนที่การตกแต่งของร้านแบบนี้จะทำให้เรารู้สึกเยือกเย็นไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับร้านน้ำชาหรือร้านอาหารอื่นๆที่ตกแต่งร้านด้วยสีขาวเหมือนกัน แต่ด้วยการใช้ต้นไม้และกระถางแจกันเข้ามาเสริมการตกแต่งให้มีพื้นที่สีเขียวไม่ดูขาวโพลนจนเกินไป มันกลับทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจทันทีที่เข้ามาในร้าน ร้านอะกาลิโกแห่งนี้มีมุมน่านั่งแบ่งออกเป็นหลายโซน ใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวนั่งคุยกับเพื่อนหรือคนรักแบบเงียบๆหน่อย ภายในร้านจะมีมุมโต๊ะติดริมหน้าต่างทางด้านขวามือเมื่อเข้ามาในร้านรอคุณอยู่ หรือไม่คุณก็สามารถขึ้นไปนั่งบนชั้นลอยที่มีโต๊ะขนาดเล็กจัดวางเข้ามุมเป็นส่วนตัวสุดๆเช่นกัน แต่ถ้าใครที่มากันเป็นกลุ่มสัก 3-4 คน คุณน่าจะถูกใจกับมุมที่เป็นโซฟายาวตรงกลางของร้าน ที่มีโต๊ะวางน้ำชาขนาดเล็กและหมอนพิงหลายใบเตรียมให้คุณและเพื่อนๆได้นั่งพูดคุยสังสรรค์กันยาว ส่วนมุมเยื้องโซฟาเข้าไปด้านในร้านยังมีโต๊ะขนาดกะทัดรัดอีกประมาณสี่โต๊ะรองรับลูกค้าที่มากันเป็นคู่หรือมาเดี่ยว สำหรับมานั่งทำงานหรือนั่งอ่านหนังสือและพูดคุยกันเงียบๆ อันที่จริงแล้วการตกแต่งในส่วนต่างๆของร้านนี้มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆให้คุณได้ชื่นชมอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะพวกเครื่องเรือนสมัยเก่า หนังสือและกล่องชาในตู้กระจก กล้องถ่ายรูปโบราณ กรงนกขนาดใหญ่รูปปราสาท และของตกแต่งอื่นๆอีกมากมายที่ถูกจัดวางได้อย่างสวยงามและลงตัว สร้างความเพลิดเพลินในการซึมซับบรรยากาศในส่วนของร้านอย่างไม่รู้เบื่อ
ส่วนใครที่อยากสัมผัสกับความเป็นธรรมชาติและความเป็นส่วนตัวมากกว่าเดิม ด้านนอกของร้านที่เป็นสวนร่มรื่นเขียวชอุ่มคือที่สำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะจิบน้ำชาขนาดย่อมที่หลบมุมอยู่ทางซ้ายมือเมื่อเปิดประตูเข้ามาในสวน เบาะนั่งขนาดเล็กที่วางรายล้อมน้ำพุท่ามกลางต้นไม้ใหญ่เขียวขจีให้ความรู้สึกเย็นร่มรื่น หรือจะส่วนหลังสุดของสวนที่มีม้านั่งไม้และโต๊ะจิ๋วจัดวางไว้ให้ใครที่มาได้มานั่งพักพิงสัมผัสกับความรื่นรมย์ของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และสิ่งที่พิเศษสุดในสวนแห่งนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นศาลาสีขาวทรงวิคตอเรียอังกฤษสมัยก่อน ที่มีไว้ให้บริการกลุ่มลูกค้าจำนวนใหญ่ประมาณ 10-12 คน ได้มาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์พิเศษในศาลาทรงสวยที่มีกระจกให้มองเห็นสวนโดยรอบ
สำหรับเมนูอาหารที่เราได้ลองชิมนั้น ขอบอกว่าเข้ากับบรรยากาศความเป็นร้านน้ำชาสไตล์อังกฤษสุดๆ กับเมนูที่ทางร้านบอกว่าขายดีมากๆ อย่าง “Chocolate Caramel Cake” (120 บาท) และ Blueberry Cheese Cake (120 บาท) ซึ่งเค้กทั้งสองชิ้นมีรสชาติหวานมันกลมกล่อมแบบพอดี ไม่หวานจนเกินไป พร้อมทานแกล้มกับชาร้อน Earl Grey ก็ให้ความรู้สึกเข้ากันได้เป็นอย่างดี ส่วนเมนูอื่นๆที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือชาหลากรสจากหลากหลายยี่ห้อ พร้อมทั้งขนมโฮมเมดแบบอังกฤษ ที่นอกจากจะมีเค้กแล้ว ยังมีสโคนส์และคีชให้ได้เลือกทานอีกด้วย
นอกจากคุณจะสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติและการตกแต่งร้านด้วยโทนสีขาวสะอาดตาแล้ว มาร้านนี้รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังกับการหามุมสวยๆถ่ายรูปลงบนอินสตาแกรมของคุณแน่นอน ร้านนี้มีมุมหลายมุมให้คุณได้เลือกถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะในบริเวณของร้านโดยรวม (ที่ถ่ายมุมไหนก็สวย) มุมเคาน์เตอร์ของร้านที่มีเครื่องครัว หม้อ ไห แบบเก่าห้อยโชว์อยู่อย่างน่ารัก มุมจากชั้นลอยของร้านที่สามารถถ่ายลงมาเห็นทั้งบรรยากาศของร้าน หรือจะเดินเล่นถ่ายรูปในบริเวณสวนด้านนอกตามทางเดินยาวที่โรยกรวดหิน รูปปั้นหินตามมุมต่างๆของสวน ผนังสีขาวแบบเก่าที่มีกระเช้าดอกไม้ตรงท้ายสวน และที่พลาดไม่ได้กับมุมยอดฮิตของร้านที่ทุกคนที่มาจะต้องมาถ่ายรูปกัน นั่นก็คือมุมบันไดและประตูไม้สไตล์บ้านอังกฤษสมัยก่อน ที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในสวน cottage ปิกนิกในอังกฤษแท้ๆ
และเหมือนคำว่า “พักผ่อน” จะเป็นปรัชญาของร้านนี้อย่างแท้จริง เพราะร้านอะกาลิโกเขาเปิดให้บริการแค่สามวันเท่านั้น คือวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00น. – 18.00น. ใครที่อยากมาคลายเครียดเติมความสดชื่นให้กับตัวเอง ก็อย่ารอช้าที่จะเอาหนังสือเล่มโปรดมานั่งอ่านชิลๆ หรือชวนเพื่อนๆและคนรักมานั่งพูดคุยกันสบายๆ เพราะคุณจะรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ เหมือนเวลาได้หยุดหมุนเลยทีเดียว
ตั้งอยู่ที่: 20 อาคารบุญจิราธร ซอยสุขุมวิท 51 ใกล้ BTS ทองหล่อ
เปิดบริการวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา: 10:00 น. – 18:00 น.
Tel: 02 662 5857
Website: http://www.agalico.co.th/
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนชาวไทย ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค จึงนำ “เสียง” หรือความคิดเห็นจากประชาชนภาคธุรกิจ มีส่วนร่วมในการส่งเสียงผ่านการสำรวจของ ‘Business of the People Poll’ ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนโดย สถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในจัดทำการสำรวจผ่านตัวแทนผู้ประกอบการไทยจำนวน 451 ตัวอย่าง โดยมุ่งเน้นหัวข้อไปที่ ‘ปัจจัย, ความท้าทาย, โอกาส และคำแนะนำ ในการเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต’ เพื่อที่จะทราบถึงความเข้าใจ ข้อเท็จจริง และแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากผู้ที่มีบทบาทจริงในภาคธุรกิจของประเทศไทย