fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#ARTRECAP — ‘Running’ นิทรรศการล่าสุดของ Sam Friedman ที่สังเกตุความเคลื่อนไหวของธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจ
date : 27.มีนาคม.2018 tag :

ด้วยความหลงใหลในความงดงามของธรรมชาติ Sam Friedman จึงมักจะสังเกตความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนไปของธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลาอยู่เสมอ โดยเขาได้นำเอาความงดงามที่ได้พบในแต่ละครั้งมาถ่ายทอดสู่ผลงานศิลปะแนว Abstract เพราะเชื่อว่าศิลปะแนว Abstract สามารถที่จะถ่ายทอดทั้งความเคลื่อนไหวและอารมณ์ของบรรยากาศเหล่านั้นสู่ภาพวาดได้เป็นอย่างดี การมาจัดนิทรรศการผลงานที่ไทยด้วยแนวคิด Running ในครั้งนี้ เขาได้ถ่ายทอดเรื่องราวของธรรมชาติผ่านองค์ประกอบที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาของชายหาดและท้องทะเล จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ Sam สร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยเทคนิคลายเส้นและการใช้สีที่โดดเด่น แตกต่าง

สำหรับ Sam Friedman เขาเริ่มต้นเส้นทางสายศิลปะด้วยการเข้าศึกษาในสาขา Commercial Art ที่สถาบัน The Pratt Institute อีกทั้งยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทและสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังระดับโลก อาทิ Nike, The New York Times ทำให้เขาได้ฝึกฝนทักษะด้านศิลปะมาอย่างเชี่ยวชาญ ทั้งการใช้ลายเส้น รูปแบบ พื้นผิว และการใช้สีที่สดใส เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามเปรียบดั่งการสร้างสรรค์จากธรรมชาติ

นอกจากนี้ การได้ร่วมงานเป็นมือขวาให้กับศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง KAWS ยังทำให้ Sam Friedman มีโอกาสเรียนรู้การใช้เทคนิคด้านศิลปะและวิธีการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างหลากหลาย จนนำสามารถพัฒนามาสู่สไตล์งานศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเอง และเป็นที่กล่าวขานถึงในแวดวงศิลปะด้วยผลงานที่งดงามดั่งกวีที่สร้างสรรค์ถ้อยคำออกมาเป็นข้อความที่ลึกซึ้ง

การจัดแสดงผลงานศิลปะในครั้งนี้ของ Sam Friedman ถือเป็นการจัดนิทรรศการนอกประเทศบ้านเกิดครั้งแรกของเขา ที่ได้เผยแพร่ผลงานของเขาด้วยเทคนิคการใช้สีอะคริลิคผสานกับลวดลายเส้น อันเป็นเอกลักษณ์บนผืนผ้าใบและกระดาษ Stonehenge ซึ่งได้สั่งสมประสบการณ์มาจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะมาอย่างยาวนาน

โดยนิทรรศการในครั้งนี้ Sam ได้สร้างสรรค์ผลงานมาจัดแสดงทั้งหมด 24 ชิ้นด้วยกัน แบ่งเป็นภาพวาดสีอะคริลิคบนผ้าใบ (canvas) จำนวน 14 ชิ้น และการใช้เทคนิคผสมผสาน (mixed media) บนกระดาษ Stonehenge จำนวน 10 ชิ้น โดยมี เจริญ เพ็งสถาพร เป็นภัณฑารักษ์ที่ดูแล Chin’s Gallery และนิทรรศการในครั้งนี้

RECOMMENDED CONTENT

27.พฤษภาคม.2019

“โรคร้ายไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว” เพราะโรคร้ายไม่ได้ทำร้ายแค่ผู้ป่วยเพียงคนเดียว แต่ยังมีคนในครอบครัวและคนอีกหลายคนที่ต้องเจ็บปวดและได้รับผลกระทบเช่นกัน การช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับการรักษานั้น เท่ากับเราได้ช่วยเหลือคนมากกว่าหนึ่งคน