fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#SneakerTalk : Nike Hyperadapt 1.0 Black/White-Blue Lagoon…รองเท้า Self Auto-Lacing Shoe คู่แรกในโลก
date : 18.พฤษภาคม.2017 tag :

18446960_10154615349008683_6514601666563783109_n

Nike Hyperadapt 1.0 Black/White-Blue Lagoon…ขึ้นชื่อว่าเป็นคนชอบและสะสมรองเท้าผ้าใบหรือ Sneakerhead แล้วเนี่ย แน่นอนอยู่แล้วว่า ไม่ว่าใครก็ตามย่อมต้องมี Holygrail หรือ Wishlist รองเท้าที่ตัวเองอยากได้ ไม่ว่ามันจะหายากราคาแพงมากมายแค่ไหน หรือสำหรับบางคนอาจจะเป็นเพียงแค่รองเท้าธรรมดาๆ ในสายตาของคนอื่นๆ ที่มีความหมายต่อจิตใจของเราก็เป็นได้ เช่นเดียวกันกับที่เราเองก็มี Wishlist หลายอันที่อยากได้ แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ความหายาก ราคารีเซลที่สูงลิบลิ่วเกินตัว หรืออื่นๆ ทำให้ Wishlist ดังกล่าวก็ยังคงเป็น Wishlist แบบนั้นอยู่ต่อไป

18519853_10154615348848683_5668324882254585713_n

18423906_10154615349218683_5104899414750507642_n

จนกระทั่งได้เติมเต็มอีกหนึ่ง Wishlist ของเราเมื่อปีที่แล้วที่มีโอกาสได้ครอบครองซะที ซึ่งก็คือ Nike Hyperadapt 1.0 ที่เปิดตัวไปเมื่อมีนาคมปีที่แล้ว โดยเป็นรองเท้า Self Auto-Lacing Shoe คู่แรกในโลกที่มี “วางจำหน่าย” ในแบบ Retail แต่หลายๆ คนอาจจะแย้งเกี่ยวกับ Nike Mag ที่เป็น ​Self Auto-Lacing เหมือนกัน ซึ่งเราถือว่าเป็นคนละเคส เพราะว่า Nike Mag นั้นวางจำหน่ายในลักษณะของการบริจาคเงินเพื่อซื้อสล๊อตและจับฉลากสุ่มหาคนโชคดีที่ได้รองเท้า แตกต่างจากการวางจำหน่ายของรองเท้าคู่นี้ที่วางขายในลักษณะของ Raffles เพื่อสิทธ์ซื้อรองเท้า

 

คนที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็คท์นี้ก็คือ Tinker Hatfield, Tiffany Beers ที่เป็น ​Senior Innovator และ Mark Parker ที่ต่อยอดมาจากโปรเจ็คท์ Nike Mag อีกทีนึง โดยเป็นรองเท้าที่มีวิธีการทำงานแบบอัตโนมัติ เมื่อเราสวมเข้าไปในรองเท้า ตัวเซ็นเซอร์ตรงส้นเท้าจะทำงานทันทีด้วยสลิง 6 เส้นที่ถูกดึงรัดเข้าด้วยมอเตอร์ขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ตรง Case ข้างล่าง (Adaptive Lacing) และสามารถปรับระดับความกระชับด้วยปุ่ม + และ – รวมไปถึงไฟที่สว่างและกระพริบหลังจากที่ใส่รองเท้าตรงตำแหน่ง Case ด้านล่างของ Midsole และตรง Heel Counter ด้านหลัง ซึ่งคำว่า E.A.R.L. ตรงลิ้นรองเท้าด้านซ้ายมาจาก Electro Adaptive Reactive Lacing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับรองเท้าคู่นี้นั่นเอง ส่วนของ Upper เป็น Flyknit ที่มีแพทเทิร์นเฉพาะของคู่นี้ โดยรองเท้าจะมาพร้อมกับที่ชาร์จที่เป็นลักษณะแม่เหล็ก Attach กับส่วน Case ด้านล่างที่มีตัวหนังสือ MT2 ซึ่งมาจากตัวหนังสือแรกของชื่อของ 3 คนข้างบนที่เป็นเจ้าของโปรเจ็คท์นี้ โดยใช้เวลาในการชาร์จรองเท้าครั้งละราวๆ 2 ชั่วโมงและสามารถใช้งานได้ราวๆ 2-3 อาทิตย์ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานรองเท้า

18447304_10154615348928683_5494907711351996972_n

18486281_10154615349158683_499646105204367252_n

18485428_10154615348993683_151497890918487191_n

18485862_10154615348878683_8609421659434611100_n

ความโชคดีอีกอย่างนึงของเราก็คือเรื่องของจังหวะและราคาที่ได้มาในราคาโคตรมิตรภาพ จากเพื่อนของเพื่อนที่เบ็ดเสร็จแล้วแพงกว่าราคารีเทลอยู่นิดเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องของการขนส่ง ด้วยขนาดของกล่องที่ใหญ่มากและหนักมาก ก็เลยวานให้เพื่อนอีกคนรับของและส่งเฉพาะรองเท้าและที่ชาร์จมาให้ ก่อนที่กล่องจะส่งตามมาทางเรืออีกทีนึง สิ่งที่แปลกใจก็คือ มันเป็นรองเท้าที่ใส่สบายมากๆ คู่นึงเลยทีเดียว เพียงแต่ว่ามันมีข้อจำกัดตรงที่ เมื่อปล่อยสลิงจนสุดเต็มที่ของมันแล้ว ตัวรองเท้าไม่ได้เปิดกว้างมากนัก ทำให้เวลาสวมเข้าไปค่อนข้างยากนิดนึง แต่ความรู้สึกตอนมันรัดเท้าเราเนี่ยสุดยอดมาก

18447439_10154615348858683_8100052894799609660_n

18556412_10154615349098683_1259453347069830754_n

ในความรู้สึกของเรา รองเท้าคู่นี้ไม่ใช่แค่เป็นรองเท้าที่รัดเองได้ แต่มันคืออีกหนึ่งชิ้นส่วนประวัติศาสตร์ของ ​Sneakers Culture เลยก็ว่าได้ ซึ่งมันคือต้นแบบของอะไรหลายๆ อย่างที่จะต่อยอดไปสู่สิ่งอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น มันอาจจะกลายเป็นรองเท้าที่ช่วยเหลือผู้พิการที่ไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าเองได้ เป็นต้น มันจึงเป็นเรื่องของ Innovation และการสร้างสรรค์จินตนาการจากภาพยนตร์ที่กลายมาเป็นของจริงๆ

 

contributor : Jeed S. Muangsirikwan

 

 

.

RECOMMENDED CONTENT

17.สิงหาคม.2017

หลังจากคว้ารางวัลกรังปรีซ์ สาขาเพลงประกอบโฆษณายอดเยี่ยมจากเวทีคานส์ ไลอ้อน 2017 อาดิดาส ออริจินอลส์ยังคงพัฒนาผลงานสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง