fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

10 อันดับเพลงยอดแย่ที่สุดแห่งปี 2014 จัดโดยนิตยสาร TIME
date : 19.ธันวาคม.2014 tag :

กลายเป็นธรรมเนียมประจำทุกปี ที่เมื่อเดือนธันวาคมมาถึง สื่อยักษ์ใหญ่ต่างๆของต่างประเทศจะต้องลุกขึ้นมาจัดอันดับยอดเยี่ยม ยอดแย่ นู่น นั่น นี่ มาให้พวกเราได้อ่านกันสนุกๆส่งท้ายปี ไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับภาพยนตร์ เพลง อัลบั้ม หนังสือ ทีวีซีรี่ส์ วีดีโอเกม และหมวดหมู่อื่นๆอีกมากมายที่สามารถนึกถึง ที่ผ่านมาทางเราได้นำการจัดอันดับยอดเยี่ยมหลายๆลิสต์มาให้ชาว Dooddot ได้ชมกันหลายครั้งแล้ว วันนี้เราเลยขอเปลี่ยนแนวนำการจัดอันดับ “ยอดแย่” มาฝากกันบ้างดีกว่า ซึ่งล่าสุดนิตยสาร TIME หนึ่งในนิตยสารที่มีอิทธิพลมากที่สุดของโลก ได้ทำการจัดอันดับ “10 เพลงยอดแย่ที่สุดแห่งปี 2014” ออกมา ขอบอกว่าถ้าใครได้เห็นแล้วจะต้องเกิดอาการหนาวๆร้อนๆขึ้นมาทันที เพราะบางเพลงที่ติดอยู่ในลิสต์นี้ต่างเป็นเพลงที่ดังมากกกกของมากที่สุดประจำปีนี้เลย และเชื่อว่าจะต้องเป็นเพลงโปรดฟังติดหูของใครหลายๆคนอยู่แน่ๆ เอาเป็นว่าได้ชมแล้วก็อย่าเพิ่งเกิดอาการโกรธเคืองถึงขนาดนั้น ถือซะว่าเป็นการจัดอันดับที่ TIME เขาทำขึ้นมาสนุกๆก็แล้วกัน (ถึงแม้ว่าจะเถียงไม่ค่อยออกก็เถอะ เพราะนี่คือนิตยสาร TIME เลยนะพี่น้อง) ถ้าอย่างนั้นไปดูกันเลยดีกว่า ว่าจะมีเพลงอะไร ของนักร้องคนไหนบ้างที่โชคร้ายดันไปติดอยู่ในลิสต์ดังกล่าว

10. “L.A. Love (La La)” – Fergie

 หลังจากที่รู้ว่าป้าเฟอร์กี้ เฟอร์ก จะ comeback กับอัลบั้มใหม่ หลังจากปล่อยอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองครั้งแรกเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว กับอัลบั้ม “The Dutchess” (2006) ที่มีเพลงฮิตมากมาย อาทิ “Fergalicious”, “London Bridge”, “Glamorous” และ “Big Girls Don’t Cry” เด็กยุค 2000 อย่างเราก็แอบดีใจอยู่ลึกๆว่า เออ! ในที่สุดเฟอร์กี้ เธอก็กลับมาแสดงฝีมือ ประชันกับเหล่าเจ้าแม่เพลงป๊อปของยุคนี้ ให้รู้กันไปเลยว่าใครเป็นใครเสียที ระดับเฟอร์กี้แห่งวง Black Eyed Peas เสียอย่าง ต้องมีของมาสู้อยู่แล้ว แต่…พอได้ฟังซิงเกิ้ลแรกอย่าง “L.A. Love (La La)” เข้าไปปุ๊ป ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ เพราะถึงแม้ว่าป้าแกจะไม่ตามกระแสทำเพลงแดนส์แบบ EDM อึกทึกครึกโครม ที่ได้ยินกันจนเกร่อของยุคนี้ แต่ก็ต้องบอกว่าเพลงนี้ฟังแล้วมันยังไม่สุดอ่ะ ถึงแม้ว่า she จะยังคงใช้บีทแบบให้นึกถึงงานของ BEP ช่วงแรกๆ อย่าง Don’t Phunk With My Heart หรือ Let’s Get It Started ก็เถอะ เอาเป็นว่าเพลงนี้ฟังแล้วมันยังไม่โดน ฟังดูเซฟ และยังไม่ดีพอถึงระดับเป็นเพลง comeback ของเธอ ส่วนท่อนที่ร้อง ลา ลา ลา นั่นก็เหมือนเป็นท่อนที่ใส่เข้ามา เพราะไม่รู้จะร้องอะไรแล้วมากกว่า

9. “Brooklyn Girls” – Catey Shaw

เหตุผลหลักที่นิตยสาร TIME ให้เพลงของนักร้องหน้าใหม่นามว่า Catey Shaw คนนี้ติดอยู่ในลิสต์ ก็เพราะว่าเนื้อเพลงเกี่ยวกับผู้หญิงบรูคลินของเธอมันไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ อย่างกับเธอไม่เคยไปย่านบรูคลินในนิวยอร์กอย่างนั้นแหละ (ทั้งๆที่เธอเป็นคนนิวยอร์ก) อีกทั้งยังสื่อไปในทางที่ไม่ดีอีกด้วย ถึงแม้ว่าสาว Shaw เธอจะพยายามสื่อว่าผู้หญิงบรูคลินนั้นเท่และเปรี้ยวนะจ๊ะ ตัวอย่างของเนื้อเพลงบางท่อนที่ไม่ค่อยมีสาระจากเพลงนี้ ได้แก่ “Jay-Z bumps in her headphones/Drinks on top of the Brownstones/Get it on in the bathroom stall” ที่มีความหมายประมาณว่า ผู้หญิงบรูคลินคนนี้เธอชอบฟังเพลง ชอบนั่งดื่มเหล้าบนบันใดหินน้ำตาล (ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนิวยอร์ก) แล้วสุดท้ายก็ได้ไปมีอะไรกับผู้ชายในห้องน้ำ หรืออีกท่อนที่เธอร้องว่า “Tonight we run the island” ทั้งๆที่บรูคลินเป็นเบอโรหนึ่งในนิวยอร์กที่ไม่ได้เป็นเกาะ…เอิ่ม…

8. “Black Widow” – Iggy Azalea feat. Rita Ora

ถึงแม้ว่าเพลงๆนี้จะสามารถขึ้นไปอยู่ถึงอันดับ 3 บนชาร์ตเพลง Billboard Hot 100 ของอเมริกา แต่เมื่อเทียบกับซิงเกิ้ลแรกสุดฮิตประจำซัมเมอร์ของปีนี้อย่าง “Fancy” พวกเราก็ต่างนึกว่าสาว Iggy เธอจะสารต่อความแรง ด้วยการปล่อยซิงเกิ้ลน้ำดี ที่มีความแรงและเจ๋งไม่แพ้กัน แต่ที่ไหนได้เธอกลับเลือกที่จะปล่อยเพลง “Black Widow” ออกมา (ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นเพลงของนักร้องสาว Katy Perry มาก่อน สมัยที่เธอกำลังอัดอัลบั้ม  Prism แต่สุดท้ายไม่ได้ถูกเลือก) ที่ฟังกี่ทีก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันหลวมๆกลวงๆ และฟังดูขี้เกียจๆยังไงพิกล แถมนิตยสาร TIME ยังบอกอีกว่า การที่ดึงนักร้องสาวจากเกาะอังกฤษที่ยังค่อนข้าง no name ในฝั่งอเมริกาอย่าง Rita Ora มาเสริมทัพในเพลงนี้ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อตัวเพลงขนาดนั้นอีกด้วย

7. “Summer” – Calvin Harris

นี่คืออีกหนึ่งเพลงที่ฟังแล้วทำให้เรายิ่งเบื่อพวกเพลงสไตล์ EDM และ electropop ที่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะไปปาร์ตี้ที่ไหนเป็นต้องเปิด ทั้งเสียงสังเคราะห์น่ารำคาญนั่น รวมถึงบีทเดิมๆที่มีการบิล์ทขึ้นเหมือนกัน และดรอปลงเหมือนกัน หลายคนบอกว่าเพลงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเพลงอื่นๆของ Harris เลย ฟังผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ่งถ้าลองถอดพวกเสียงสังเคราะห์และบีทอะไรต่างๆออกจากเพลงนี้ทั้งหมด และฟังแต่เนื้อเพลงอย่างเดียว ก็จะพบว่าเพลงๆนี้ยิ่งไม่มีสาระอะไรเข้าไปใหญ่

6. “Wiggle” – Jason Derulo feat. Snoop Dogg

เวลาคุณฟังเพลงนี้แล้วได้อะไรบ้าง นอกจาก เซ็กส์ เซ็กส์ แล้วก็เซ็กส์! คือจริงๆมันไม่ผิดหรอกถ้าคุณจะแต่งเพลงเกี่ยวกับเซ็กส์ เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีศิลปินวงดนตรีมากมายที่แต่งเพลงเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ไอ้เพลง “Wiggle” ของหนุ่ม Jason Derulo นี่ฟังแล้วแบบว่า ให้ตายเถอะ ระดับฝีมือการแต่งเพลงของคนเขียนเพลงมีอยู่เท่านี้จริงๆเหรอ (เพลงนี้ใช้คนเขียนเพลงถึง 8 คนด้วยกัน! เพื่อ?!) เพราะมันทั้งตื้นเขิน หยาบโลน ฟังดูไร้สมองสุดๆ และไม่มีอะไรใหม่เลย โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า “I got one question/How do you fit all that…in them jeans?” ถึงขนาดที่นิตยสาร TIME กัดทำนองว่า วง Black Eyed Peas เขาเคยถามและได้คำตอบไปแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ในเพลง “My Humps” เมื่อปี 2005 นู่น

5. “All About That Bass” – Meghan Trainor

เพลงนี้เป็นเพลงแรกในลิสต์ ที่ตอนแรกเราเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงมาติดอยู่ในลิสต์นี้ได้ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังมากๆของปีนี้เลย ไหนจะสามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 1 บนชาร์ตเพลง Billboard Hot 100 ของอเมริกาถึงแปดสัปดาห์ และอันดับ 1 บนชาร์ตเพลง UK Singles Chart ของฝั่งอังกฤษถึงสี่สัปดาห์  อีกทั้งยังถูกเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 2015 ถึงสองสาขาใหญ่ด้วยกัน ทั้ง Record of the Year และ Song of the Year แต่สาเหตุที่ทำให้เพลงนี้มาติดอยู่ในลิสต์ดังกล่าว เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่ฟังเผินๆเหมือนจะโจมตีพวกสาวร่างผอมทั้งหลาย (skinny bitches) ที่สังคมส่วนใหญ่มักให้ค่าว่าหุ่นแบบนี้แหละสวย ทั้งๆที่ในความเป็นจริง รูปร่างของผู้หญิงมีหลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าใครตั้งใจฟังเพลงนี้ดีๆ ก็จะรู้ว่าสาว Meghan เธอแค่หยอกล้อเบาๆมากกว่า และที่สำคัญยังส่งเสริมให้ผู้หญิงทุกคนรักและภูมิใจในรูปร่างของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะผอม หรืออวบก็ตาม

4. “Sun Daze” – Florida Georgia Line

สำหรับเพลงนี้ ทั้งนิตยสาร TIME และ Vinyl Mag ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันไม่ผิดหรอกถ้าศิลปินคันทรี่อยากจะแต่งเพลงเฮฮา ปาร์ตี้กับเขาบ้าง แต่อย่างน้อยตัวศิลปินเองควรจะรู้ลิมิตว่า ตัวเองก็อายุปาเข้าไปเกือบจะวัยกลางคนแล้ว การที่ยังแต่งเพลงก๊องๆแก๊งๆเกี่ยวกับการอยากฟันสาว และเมากัญชา มันใช่ไอเดียที่ดีแล้วเหรอ? ไม่มีใครเขาอยากฟังหรอกนะ

3. “Masterpiece” – Jessie J

ดูเหมือนว่าเพลงนี้ของนักร้องสาวจากเกาะอังกฤษ Jessie J เป็นเพลงที่แฟนๆฟังแล้วชอบ แต่ไม่ค่อยจะฮิตเท่าไหร่ในหมู่นักวิจารณ์เพลง หลายคนชมว่าเพลงนี้ก็จัดอยู่ในระดับเพลงป๊อปที่ใช้ได้ แต่เรื่องของเนื้อห้านั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพราะไอ้การร้องเพลงเกี่ยวกับความเข้มแข็ง การสร้างคุณค่าให้ตัวเองหรือผู้หญิงโดยรวม แบบ self-empowerment ในเชิงสิทธิสตรี (ที่
ดูเหมือนกำลังจะเป็นเทรนด์อยู่ตอนนี้ในหมู่ศิลปินสาวมากมาย) สาว Jessie J ก็เคยร้องมาแล้วใน “Who You Are” (2011) อัลบั้มเปิดตัวของเธอ ส่วนนิตยสาร TIME ก็มีความเห็นว่า การที่ Jessie J ขับร้องบทเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนๆหนึ่งที่เคยล้มแล้วลุก หลังจากถูกโจมตีต่างๆนาๆจากสื่อมากมาย ทั้งๆที่ในชีวิตจริงตัวนักร้องสาวไม่เคยมีภาพลักษณ์หรือข่าวคราวอย่างว่าออกมา ช่างเป็นอะไรที่ไม่ make sense เอาเสียเลย

2. “Literally, I Can’t” – Play & Skillz feat. Redfoo, Lil Jon, Enertia McFly

อย่าเรียกนี่ว่า “เพลง” เลยดีกว่า เพราะมันคือขยะชัดๆ! เรื่องเนื้อหานี่ฟังแทบไม่ได้ เพราะมันส่งเสริม rape culture หรือวัฒนธรรมการข่มขืนอย่างชัดเจน ตั้งแต่ท่อนที่ร้องว่า “Shut the f*** up” ตอนที่กลุ่มผู้หญิงปฏิเสธที่จะดื่ม และมีอะไรกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเอง ไปจนถึงท่อนที่ว่า “You got a big ole butt, by the way you walking, but you annoying me cuz you’re talking” หรือแปลเป็นไทยก็คือ “ก้นเธอก็ใหญ่เอ๊กส์ดีนะเวลาเธอเดิน แต่พอเธอเปิดปากพูดเท่านั้นแหละ ฉันแม่งโคตรรำคาญเลย” คือทั้งดูถูก เหยียดหยาม เห็นผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศขนาดนี้ สมควรแล้วล่ะที่เป็นหนึ่งในเพลงโคตรกากที่สุดแห่งปี

1.“Rude” – Magic!

เชื่อว่าหลายคนคงงงอยู่ไม่น้อยว่าเพลงสุดฮิตประจำปีอย่างเพลงนี้ มาทำอะไรอยู่ในลิสต์ดังกล่าว ขนาดเราเองเห็นครั้งแรกยังงง เพราะเพลงนี้ก็ออกจะไพเราะ ยิ่งจังหวะแบบเรกเก้ๆ ฟังกี่ทีก็ยิ่งติดหู แต่พอมาอ่านเหตุผลที่ทำไมนิตยสาร  TIME ถึงจัดให้เพลงนี้อยู่ในลิสต์เพลงยอดแย่แห่งปี ก็ถึงบางอ้อ เพราะเนื่องจากเนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่พยายามมาขออนุญาตพ่อของแฟนสาวเพื่อที่จะแต่งงานกับเธอ แต่คุณพ่อดันไม่อนุญาต ตัวนักร้องเลยตอบออกไปว่า “Why you gotta be so rude?” ซึ่งคำว่า “Rude” นั้นจริงๆมีความหมายว่าไร้มารยาท หรือหยาบคาย เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริง การที่พ่อของฝ่ายหญิงจะตอบปฏิเสธ โอเค มันอาจจะฟังดูใจร้ายไปหน่อย แต่จะไปบอกว่าแกไร้มารยาท นี่ฟังยังไงก็ไม่ใช่ เออ…ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่มีจังหวะสนุก แต่มีเนื้อหางงๆอยู่เหมือนกันนะ

Credit: TIME

RECOMMENDED CONTENT

14.ธันวาคม.2021

ถ้าคุณได้ติดตามข่าวกันมาบ้าง คนไทยหลายๆคนนั้นอยู่ในวงการ Visual Effect ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานภาพยนตร์ หรืองานภาพนิ่ง