
“เมื่อคิดดูแล้ว เราทุกคนต่างเปลือยเปล่าภายใต้เสื้อผ้าที่สวมใส่”
คือข้อความหลักในการทำงานภาพถ่ายชุด With and Without ของ Sophia Vogel ช่างภาพชาวเยอรมันที่ต้องการนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของคนผ่านภาพถ่าย Nude ชุดนี้
Sophia Vogel เริ่มต้นการถ่ายด้วยการถามแบบทุกคนของเธอว่าพวกเขามีงานอดิเรกอะไร แล้วจึงให้คนเหล่านั้นทำงานอดิเรกให้เธอดูเพื่อถ่ายภาพ แล้วให้พวกเขาทำกิจกรรมเดิมอีกครั้งโดยคราวนี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้า “ฉันต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกเป็นธรรมชาติตอนนี้เปลือยไม่ต่างจากเวลาสวมเสื้อผ้า”
แม้ว่าในหลายทศวรรษที่ผ่านมาภาพ Nude จะถูกมองว่าผิดศีลธรรมอันดีน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นการนำเสนอภาพนู้ดก็ไม่สามารถปราศจากประเด็นหรือบริบททางเพศได้ 100% อยู่ดี “ฉันอยากจะนำเสนอภาพถ่ายนู้ดในฐานะที่มันเป็นศาสตร์แห่งความงามแขนงหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องมีบริบทางเพศ มันไม่เห็นจำเป็นที่ช่างภาพนู้ดทุกคนต้องเชื่อมโยงกับเรื่องของเพศสภาพ”
“ในโปรเจ็คนี้ ฉันต้องการต่อต้านมาตรฐานทางสังคมที่สามารถกีดกันการแสดงตัวตนของคน ด้วยการนำเสนอความแตกต่างในรูปร่างของทุกคน ในแอคชั่นที่เป็นธรรมชาติเพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนสามารถสวยงามได้ในแนวทางของเราเอง”
แม้แบบของ Sophia Vogel จะไม่เปลือยเปล่าแต่โพสที่เธอนำเสนอก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกกระอักกระอ่วนหรือมีความรู้สึกแตกต่างจากภาพมีพวกเขาสวมเสื้อผ้าไปมากนัก “ในฐานะมนุษย์เราถูกกดดันด้วยบทบาททางเพศอยู่ตลอดเวลา เราถูกสังเกตและโดยจัดสินในทุกๆวัน ไม่ว่าจะจากอุตสาหกรรมแฟชั่นหรืออุมคติเกี่ยวกับความงามที่สร้างมาตรฐานอันสูงส่งให้กับพวกเรา”
เพราะบางครั้งเราถูกตัดสินตัวตนภายในจากเครื่องแต่งกลายภายนอก Sophia Vogel จึงเลือกใช้ภาพนู้ดในการทำเสนอตัวตนของแบบทุกคน “การเปลือยการมันทำให้เราสามารถมองเห็นทุกคนได้ง่ายขึ้น เหมือนกับเราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาโดยไม่มีสิ่งปรุงแต่งใดๆ”
More Info : www.withandwithout.de/
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย