fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

“The Right Haircut For Your Face Shape” เลือกทรงผมอย่างไรให้หล่อ เท่ มีสเน่ห์ ให้เข้ากับใบหน้าแต่ละแบบของคุณผู้ชาย
date : 16.ธันวาคม.2013 tag :

คงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการตัดผมทรงใหม่แล้วมารู้ทีหลังว่า ทรงผมที่คุณอุตส่าห์เลือกให้ช่างตัดผมตัดเสียอย่างดีนั้น ไม่ได้เข้ากับโครงหน้าของคุณเลย เทรนด์ทรงผมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาก็จริง แต่มีหลายๆทรงที่กลับไม่เข้ากับโครงหน้าของหนุ่มๆทุกคน บางทรงผมกลับดูรับกับคนหน้ากลม บางทรงผมกลับดูรับกับคนหน้ารูปไข่ ดังนั้นก่อนที่หนุ่มๆทั้งหลายจะรีบเข้าร้านตัดผมเพื่อเปลี่ยนลุคตัวเองให้ดูเหมือนกับพระเอกเกาหลี คุณต้องคิดและเลือกทรงผมให้ดเสียก่อน ว่าทรงที่คุณอยากจะตัดนั้น รับกับใบหน้าคุณหรือไม่

โครงหน้าของแต่ละคนมีความแตกต่างหลากหลายอย่างมาก ผู้ชายบางคนอาจต้องคิดเยอะเรื่องโครงหน้าของตัวเองมากกว่าคนอื่น ส่วนใหญ่หนุ่มๆจะต้องการทรงผมที่ทำให้โครงหน้าของตัวเองดูมีเหลี่ยมคมชัดมากขึ้น เพราะจะทำให้ใบหน้าของตัวเองดูแมนมากกว่าเดิม แถมยังเป็นทรงผมที่ช่างตัดผมและสไตลิสต์ต่างยอมรับว่าเป็นทรงที่ดูดีที่สุดสำหรับคุณผู้ชาย ถ้าคุณเป็นคนหน้ายาว ทรงผมที่คุณควรตัดก็คือทรงที่จะทำให้หน้าของคุณดูสั้นขึ้น ถ้าคุณเป็นคนหน้ากว้าง คุณก็ควรมีทรงผมที่ทำให้หน้าของคุณดูยาวขึ้น และถ้าคุณมีหน้าที่ค่อนข้างเหลี่ยม ทรงผมที่คุณควรตัด ก็ควรจะเป็นทรงที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูซอฟท์มากขึ้นเป็นต้น ดังนั้นเวลาที่คุณไปร้านทำผมทุกครั้ง คุณควรถามช่างตัดผมว่า ทรงผมที่คุณได้เลือกมานั้นเหมาะกับโครงหน้าคุณหรือไม่ และถ้าเขาบอกว่าไม่หมาะ คุณก็ควรถามต่อว่า แล้วเขาพอจะมีวิธีดัดแปลงทรงผมที่คุณต้องการตัด ให้เข้ากับใบหน้าของคุณมากน้อยอย่างไรบ้าง

การตัดผมนั้นถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างส่วนตัว จึงควรเลือกทรงผมที่เหมาะสมกับโครงหน้าและเส้นผมของคุณให้มากที่สุด เพื่อสะท้อนถึงบุคลิกภาพและสไตล์ความเป็นตัวคุณให้น่ามองยิ่งขึ้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คราวนี้พวกเราไปดูพร้อมๆกันเลยว่า โครงหน้าของผู้ชายส่วนใหญ่เป็นอย่างไร และโครงหน้านั้นๆควรตัดผมแบบไหนอะไรบ้าง ระหว่างที่ดูก็คิดไปด้วยว่าโครงหน้าของคุณเองเป็นแบบไหน เผื่อเวลาตัดผมครั้งต่อไป คุณจะได้เลือกทรงผมที่เพอร์เฟคเหมาะกับใบหน้าของคุณ

1. หน้ารูปไข่ (Oval Face Shape)
หน้ารูปไข่นี่ถือเป็นโครงหน้าที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้หญิง แต่อาจจะไม่เท่าไหร่สำหรับผู้ชาย ส่วนใหญ่หน้ารูปไข่จะเหมาะกับการตัดผมทรงอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะสั้นจะยาว เพราะสัดส่วนของใบหน้ารูปไข่ถือว่าลงตัวมากที่สุด นั่นก็หมายความว่า ถ้าหนุ่มๆคนไหนมีหน้ารูปไข่แล้วละก็ นอกจากคุณจะสามารถใส่แว่นตากันแดดรูปทรงไหนขนาดไหนก็ได้แล้ว คุณยังมีอิสระที่จะทดลองกับทรงผมหลากหลายรูปแบบแล้วแต่ใจคุณเลย ถือว่าโชคเข้าข้างคุณจริงๆ แต่มีสิ่งเดียวที่ถ้าคุณเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงคือ การตัดผมหน้าม้าแบบหนา เพราะจะทำให้หน้าของคุณดูกลมขึ้นได้

2. หน้าเหลี่ยม (Square Face Shape)
ผู้ชายคนไหนที่มีรูปหน้าสี่เหลี่ยมนี่ถือว่าดูแมนและคมเข้มนะจะบอกให้ ส่วนใหญ่เวลาหนุ่มๆทั้งหลายเข้าร้านตัดผม พวกเขาจะเลือกตัดทรงที่ทำให้รูปหน้าดูมีเหลี่ยมคมชัดมากขึ้นเมื่อเทียบกับสาวๆ เพราะผู้หญิงส่วนมากจะเลือกทรงผมที่มีรูปทรงโค้งมนมากกว่า จุดเด่นที่สุดสำหรับหนุ่มๆที่มีโครงหน้าเหลี่ยมก็คือ jawline ที่ทำให้ใบหน้าดูคมและโดดเด่นสะดุดตา หนุ่มคนไหนที่มีหน้ารูปทรงนี้ก็ถือว่าโชคดีไม่แพ้กับหนุ่มๆที่มีหน้ารูปไข่เลย เพราะรูปหน้าเหลี่ยมก็เหมาะกับการตัดผมทรงอะไรก็ได้เหมือนกัน แต่แนะนำว่าให้ตัดผมสั้นจะดีที่สุด เพราะจะช่วยเปิดหน้าผากและใบหน้าของคุณให้ดูสดใสมากขึ้น ส่วนทรงผมที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือทรงแสกกลางหรือทรงหน้าม้าแบบหนา

3. หน้าเรียวยาว (Oblong Face Shape)
โครงหน้าเรียวยาวนี่ก็เหมาะกับทรงผมหลายๆแบบเหมือนกัน โครงหน้าแบบนี้จะยาวกว่าหน้ารูปไข่นิดหนึ่ง และมีจุดเด่นทีเห็นได้ชัดคือ โหนกแก้มสูง ช่วงจมูกยาว และช่วงหน้าผากกว้าง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ใบหน้าดูยาวจนเห็นได้ชัด ควรหลีกเลี่ยงทรงผมที่มีด้านข้างสั้นจนเกินไป ถ้าหากคุณต้องการไว้ผมด้านบนให้มีความยาว แต่ถ้าคุณต้องการที่จะไว้ทรงผมแบบนี้ เราขอแนะนำให้คุณหมั่นดูแลความสั้นความยาวของทรงผมให้ดีๆ อย่าให้ผมด้านข้างสั้นจนเกินไป ผมด้านบนยาวจนเกินไป

4. หน้ากลม (Round Face Shape)
การเลือกทรงผมสำหรับคนที่มีรูปหน้ากลมนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะไฮไลท์หรือปกปิดส่วนไหนของใบหน้าล้วนๆ ความที่ใบหน้าแบบกลมไม่มีมุมหรือเหลี่ยมที่ดูคมชัด การเลือกทรงผมที่มีวอลุม (volume) จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องทำผมทรงหนามแบบตั้งๆ แต่การเพิ่มวอลุมให้กับทรงผมจะช่วยลดความหน้ากลมของคุณลงได้ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือการมีหน้าม้าแบบแหลมๆหรือการไว้ผมหน้าม้าแบบยาวปิดหน้าผาก เพราะทรงผมเหล่านั้นจะยิ่งทำให้ใบหน้าของคุณดูกลมและสั้นมากขึ้นไปอีก

5. หน้าลูกแพร (Diamond Face Shape)
หนุ่มๆที่มีโครงหน้าลูกแพรจะมีโหนกแก้มที่กว้างและสูง ส่วนหน้าผากจะค่อนข้างแคบ และมีคางแหลม ส่วนเรื่องทรงผม ผู้ชายที่มีหน้าลูกแพรมักจะนิยมไว้ผมยาว โดยมีหน้าม้าแบบปัดข้างเพื่อเพิ่มวอลุมและเพื่อให้ใบหน้าดูซอฟท์ขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการทำทรงผมแบบตั้งๆทื่อๆ แล้วหันมาปล่อยให้ผมดูเป็นธรรมชาติแทน ถ้าใครมีผมหยักศกถือว่าโชคดี เพราะจะทำให้ใบหน้าดูไม่แข็งทื่อจนเกินไป

6. หน้ารูปหัวใจ (Heart Face Shape)
ใบหน้าแบบรูปหัวใจ จะมีหน้าผากและโหนกแก้มที่ค่อนข้างจะกว้าง คล้ายๆกับรูปหน้าสามเหลี่ยม ดังนั้นการไว้ผมให้ยาวหน่อยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะถ้าไว้ผมสั้นจะยิ่งเน้นหน้าผากกว้าง อย่างน้อยควรไว้ผมยาวมาปกปิดเอาไว้หน่อยก็ยังดี หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือไว้หนวดเครา ที่จะช่วยบาลานซ์ส่วนบนและล่างของใบหน้าให้มีความพอดี แต่ถ้าคุณไม่ชอบไว้ผมยาว ก็ลองคุยกับช่างตัดผม ให้ตัดผมสั้นแบบ square cut ที่จะช่วยบาลานซ์โครงหน้าของคุณให้ดูเข้าที่

7. หน้าสามเหลี่ยม (Triangular Face Shape)
หน้าสามเหลี่ยมนี้จะตรงกันข้ามกับหน้ารูปหัวใจ ตรงที่ส่วนของคางจะกว้างในขณะที่หน้าพากนั้นแคบ หนุ่มๆคนไหนที่มีหน้าสามเหลี่ยม ต้องบอกว่าอาจจะโชคร้ายสักหน่อย เพราะการหาทรงผมให้เข้ากับโครงหน้าของคุณถือเป็นเรื่องยากพอสมควร ดังนั้นเราขอแนะนำให้ทำผมยาวแต่มีหลายๆเลเยอร์ และที่สำคัญคือเพิ่มวอลุมในส่วนบนของผม การมีหน้าม้าบางๆก็จะช่วยทำให้ใบหน้าดูซอฟท์ขึ้นเหมือนกัน

และทั้งหมดนี้ก็คือ quick guide สำหรับทรงผมแต่ละแบบที่เข้ากับใบหน้าของคุณผู้ชาย รวมทั้งคำแนะนำเกี่ยวกับจุดต่างๆของโครงหน้าที่คุณต้องคิดทบทวนดีๆก่อนเลือกทรงผมที่คุณเห็นตามนิตยสารแฟชั่น ทางที่ดีที่สุดที่เราขอแนะนำเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ ถามช่างตัดผมก่อนทุกครั้งว่าทรงผมแบบไหนเข้ากับใบหน้าของคุณ เพราะเราเชื่อว่าช่างตัดผมมืออาชีพทุกคนเขาจะต้องมีความรู้และสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่คุณได้ คราวนี้คุณจะได้ไม่ต้องห่วงว่าคุณจะออกมาดูไม่หล่ออีกต่อไป!

Writer: Thip S. Selley
Image by: fashionbeans 

RECOMMENDED CONTENT

14.ธันวาคม.2020

‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ  ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย