fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

ย้อนรอยผลงานที่ผ่านมาของ Leonardo Dicaprio นักแสดงหนุ่มมากฝีมือของวงการภาพยนตร์ในยุคนี้
date : 4.มีนาคม.2014 tag :

นักแสดงหนุ่มหน้าตาหล่อ (หน้าเด็ก) Leonardo Dicaprio ในวัย 39 ปี ล่าสุดเมื่อวานนี้ก็เพิ่งโดนชวด Oscar ไปอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย (หลังจากเข้าชิงไปสี่รอบ) จนเป็นกระแสพูดถึงเขากันทั่วโลกออนไลน์เต็มไปหมด เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองนักแสดงนำชายปี 2014 ตกเป็นของหนุ่มเท็กซัส Matthew Mcconaughey (กับบทบาทที่ต้องลดน้ำหนักลงมาจนผอมติดกระดูกกว่า 18 กิโลในเรื่อง Dallas Buyers Club) เพื่อเป็นการปลอบใจพระเอกของเรา รางวัลปลอบใจที่แฟนหนังคนไทยพอจะทำได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าที่ผ่านมานี้มีบทบาทเรื่องไหนที่น่าจะได้รางวัลกันบ้าง (บางเรื่องที่ไม่ได้ยกมาไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะ)
null

What’s Eating Gilbert Grape (1993) ผลงานแจ้งเกิดของ Leonardo ในวัย 19 ปี (หลังจากเล่นหนังหนักๆเรื่อง This Boy’s Life ในปีเดียวกัน คู่กับดาราในดวงใจ Robert De Niro ไป) ยิ่งมาเจอบทบาท Arnie Grape ที่เล่นเป็นเด็กพิการทางสมองก็ตอกย้ำให้วงการภาพยนตร์ต้องจำชื่อหนุ่มน้อยรักการแสดงคนนี้ชนิดที่ผู้ใหญ่ยังอาย ประกบคู่กันกับ Johnny Depp ตอนอายุ 30 (ผมยาวหล่อแบบได้เห็นหน้าแท้ๆ) หนังต้นยุค 90’s เรื่องนี้แม้จะเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ (แบบเงียบๆ) มีกลุ่มคนพูดถึงและยกให้เป็นหนังในดวงใจ ยังถือเป็นเหมือนครูคนแรกที่สอนให้ Leo รู้ซึ้งถึงการโดนชวด Oscar  ได้เข้าชิงสาขาดาราสมทบยอดเยี่ยม แต่ไปแพ้ให้กับ Tommy Lee Jones จาก The Fugitive

 

null

The Basketball Diaries (1995) บทบาทเด็กหนุ่มมีปัญหากับที่บ้าน (ช่วงนี้ของอาชีพเขาเราขอเรียกว่าช่วงเด็กมีปัญหาละกัน) มีบาสเก็ตบอลเป็นเพื่อน แต่สุดท้ายก็ไปเสียท่าให้กับยาเสพย์ติด เป็นหนัง Drama ที่เล่าเรื่องการเสียคนของเฮโรอีนได้ดีเป็นเรื่องต้นๆ เพราะได้พระเอกของเราตั้งใจแสดงแบบจัดเต็ม ผลก็คือไม่ได้เข้าชิงอะไรเลย แต่ตามโพลต่างๆในอินเตอร์เน็ต รวมถึงนักวิจารณ์ก็ด้วยลงความเห็นว่า นี่อาจจะเป็นบทบาทที่เล่นดีที่สุดในชีวิตของเขา จะขนาดไหนต้องลองหามาดูกัน

 

null

Celebrity (1998) อย่าตกใจที่เราข้าม Titanic ไป คงไม่ต้องบอกว่าก็เพราะหนังเรือล่มนั่นล่ะที่ทำให้เขาเป็นดาราชายหน้าใสครองใจสาวๆทั้งโลก (แต่เรื่องน่ารู้ก็คือทุกวันนี้ Dicaprio ยังไม่อยากกลับไปพูดถึงการแสดงในเรื่อง Titanic อยู่เลย) ไปๆมาๆพระเอกของเราก็ได้มาร่วมงานกับ Woody Allen หนังขาวดำภาพสวยที่พูดถึงชีวิตของเหล่าบรรดาเซเลบคนดังใน Hollywood ได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุดเรื่องหนึ่ง จริงอยู่ที่หลายคนบอกว่ามันคือผลงานช่วงขาลงของผู้กำกับ แต่ที่เลือกมาอยู่ใน List นี้ด้วย เพราะในมุมของ Leo ถือเป็นผลงานสุดท้ายในยุคที่เป็นดาราหน้าหล่อ สาวกรี๊ด (แต่ผู้ชายแอบหมั่นไส้) ของเขาอย่างเต็มตัว ถ้าใครมีเวลาลองหามาดูเผื่อจะหายคิดถึง Leo ในคราบหนุ่มหน้าใสได้บ้าง…

 

null

Catch me if you can (2002) จากเด็กหนุ่มกลายมาเป็นภาพลักษณ์นักแสดงมากฝีมือ ที่บรรจงเลือกหนังเล่นแบบมีน้อยแต่ต่อยหนัก ร่วมงานกับผู้กำกับใหญ่อย่าง Steven Spielberg งานฟอร์มใหญ่แถมได้เล่นคู่กับ Tom Hanks ซะด้วย ทั้งคู่มาในบทโปลิศจับขโมย เรื่องราวชีวประวัติ Frank Abagnail โจรหัวใสที่หลอก FBI ซะหัวหมุนปลอมเช็คไปทั่วอเมริกา สำหรับบทพ่อปลาไหลแบบนี้คนที่มารับบทคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Leonardo ของเรา เป็นผลงานที่เอาชนะใจนักวิจารณ์และนักดูหนังอย่างท่วมท้น (ส่วนตัวดูไปเกินสามรอบแล้วยังไม่เคยเบื่อเลย)

 

null

The Aviator (2004) ผลงานที่ได้เข้าชิง Oscar ครั้งที่สอง  และก็โดน Jamie Foxx จากเรื่อง Ray คว้าตัดหน้าไป (ถ้าดันเป็นปีเดียวกันกับรายนั้นก็ให้เขาไปเถอะ) หนัง 3 ชั่วโมงที่พูดถึงชีวประวัติของ Howard Huges อัจฉริยะเศรษฐีผู้ทำให้มีเครื่องบินโดยสารใช้กันอย่างในทุกวันนี้ นอกจากเครื่องแต่งกายจะวินเทจได้ใจแล้ว ผลงานการแสดงของ Leo ในวัย 30 เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่จะเรียกน้ำตาจากคนดูได้อย่างง่ายๆ ถือเป็นการร่วมงานเป็นดาราคู่บุญกับผู้กำกับ Martin Scorsese (มาแทนที่ Robert De Niro ในยุค 70’s ) เรื่องที่สองต่อจาก Gangs of New York จบจากเรื่องนี้ก็ไปเป็น The Departed และก็ลากยาวมาเป็น Wolf of Wall Street เรื่องล่าสุดนี่ล่ะ

 

null

Revolutionary Road (2008) หลังจากเข้าชิงไปอีกครั้งในหนังบู๊กลางป่า Blood Diamond (2006) ที่โดนแย่งเพชรในหนังยังไม่พอ ชีวิตจริงก็โดนแย่ง Oscar อีก (ปีนั้นตกเป็นของ Forest Whitaker, “Last King of Scotland”) เส้นทางอาชีพของเขาหลังจากผ่าน Titanic ไปสิบปี  Leonardo Dicaprio และ Kate Winslet ก็กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในเรื่องนี้ แต่รับประกันเลยว่าความเข้มข้นของการแสดงคนละเรื่องกันกับบท Jack กับ Rose อย่างสิ้นเชิง หนังพูดถึงเรื่องราวคู่สามีภรรยาในอเมริกายุคเปลี่ยนผ่าน ที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ความรักของคนสองคนอาจจะไม่พร้อมเดินหน้าต่อไปเสมอก็ได้ ปัญหาทางอารมณ์ที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ นักแสดงสองคนในเรื่องเล่นออกมาได้ราวเหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนบ้านยืนมองเองกับตัว เป็นหนังรักแบบเศร้าไม่อิงนิยายที่ถ้าใครยังไม่เคยดู ขอบอกว่าเรื่องนี้คือ a must! ที่ต้องดูเท่านั้น

 

null

Shutter Island (2010) ตอนเรื่องนี้ออกมาใหม่ๆทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาในใจเลยว่า Leonardo มาในหนังลุควินเทจทีไรแบบอเมริกันยุค 50’s ทีไรมันดูเข้ากันซะเหลือเกิน (ยิ่งหลังๆมานี้มาไม่หยุดเลย) ผลงานกับ Scorsese เรื่องนี้ถ้าเทียบกับงานชิ้นอื่นๆ ดูจะไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่อะไรเลย แต่เชื่อเถอะว่าคนรักหนังต่างยกให้มันเป็นอีกผลงานระดับขึ้นหิ้งชิ้นหนึ่งของผู้กำกับ เรื่องราวตำรวจสอบสวนสองคนที่ต้องไปแก้ปริศนาบนเกาะโรงพยาบาลบ้า จนสืบสวนกันไปๆมาๆพวกเขาทั้งสองกลับต้องเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า แล้วความบ้าจริงๆมันคืออะไร อะไรที่เรียกว่าบ้า สิ่งที่เขายืนอยู่มันจริงหรือปลอม อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าหนังไม่ได้ฟอร์มยักษ์ แต่เป็นหนังที่โชว์กึ๋นและความเก๋าของผู้กำกับและนักแสดงจริงๆ

 

null

Django Unchained (2012)  และเมื่อ Leonardo เล่นเป็นตัวโกงแบบเต็มตัว เขาก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวังอีกเช่นเคย บทบาท “Calvin Candie” นายทาสจอมซาดิสม์ที่ทารุณคนผิวสีอย่างไม่เกรงใจ ผลงานของผู้กำกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง Quentin Tarantino ที่ หนังแต่ละเรื่องชองเขามักเต็มไปด้วยฉากเลือดสาดทั่วจอ (คงเพราะคลั่งไคล้เสน่ห์หนังเกรดบี) ถ้าใครเคยดูคงจำฉากที่ตัวละครทุกตัวเผชิญหน้ากันในห้องกินข้าวได้ ตอนที่ Leo ต้องเอาค้อนมาทุบกะโหลกทาสคนเก่า รู้ไหมว่าตอนถ่ายเขาดันทุบพลาดไปโดนมือของตัวเองแล้วมือก็เลือดออกเต็มไปหมด สิ่งที่โชว์ความเป็น Professionalism แบบเข้าไส้ของชายคนนี้ก็คือ พี่แกเลือกที่จะเล่นต่อ Keep คาแรคเตอร์แบบไม่ร้องสักแอะ ยิ่งไปกว่านั้นมือที่เต็มไปด้วยเลือด (เลือดจริง) ยังเอาไปป้ายหน้าดาราสาวที่เข้าฉากด้วยกันเลอะมั่วไปหมด (ลองกลับไปดู ฉากนั้นเธอกลัวจริงชนิดที่ไม่ใช่การแสดงแล้ว) ถือเป็นการ Improvised ที่ผู้กำกับเองก็ไม่รู้มาก่อน นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมพอถ่ายฉากนั้นเสร็จตัวละครตัวนี้เลยต้องมีเฝือกติดมือตลอดเวลา!

Writer: Pakkawat Tanghom

RECOMMENDED CONTENT

10.พฤศจิกายน.2020

กุชชี่นี่มันกุชชี่จริงๆ! ล่าสุด Gucci ได้กลับมาพร้อมกับแคมเปญ Gucci Gift Giving Collection ต้อนรับบรรยากาศ Festive ช่วงปลายปีแบบนี้ โดยปีนี้ มาในธีม 'Gucci Holiday Office Party' ที่จำลองออฟฟิศยุค 80s ในช่วงก่อนเวันหยุดยาวที่เหล่าพนักงานพร้อมสำหรับปาร์ตี้แสนคึกคัก ซึ่งไอเดียเก๋ๆ ของ Gucci ยุค 4.0 อย่างนี้ ไม่บอกก็คงพอเดากันได้ว่ามาจากใคร ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ อเล็ซซานโดร มิเคเล่ (Alessandro Michele) คนดีคนเดิมนั่นเอง