fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

BMW iPerformance อนาคต! อยู่ที่นี่แล้ว กับรถขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่จะพลิกประวัติศาสตร์วงการรถยนต์
date : 4.ตุลาคม.2016 tag :

final_ohneLicht_ 004

BMW i: Born Electric

เมื่อเมืองใหญ่กลายเป็นศูนย์รวมของความเจริญ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอยู่ เพื่อทำงาน หรือใช้ชีวิต แน่นอนว่ามลภาวะจากการใช้ชีวิตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่คือเทรนด์ Urbanization ที่รวมถึงการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติที่มากขึ้นทั้งการคมนาคม ยานพาหนะ นี่คือจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีรถยนต์ที่เป็นอนาคตอย่าง BMW i Series และ iPerformance จาก BMW คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ ที่ไม่ใช่แค่การเอามอเตอร์ไฟฟ้ามาแปะไว้เป็น Option เสริม แต่เป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง และยังคงสมรรถนะของรถยนต์คันนั้นได้อย่างครบครัน

ถ้าพูดถึง BMW i Series เชื่อเลยว่าหลายๆ คนคงคุ้นตาจากเจ้า BMW i3 รวมถึง BMW i8 ที่เห็นวิ่งกันบ้างในกรุงเทพฯ หรือไม่ว่าจากภาพยนตร์เรื่อง Mission Impossible ‘Ghost Protocol’ โดยสองรุ่นนี้เปิดตัวไปเมื่อปี 2013 และเข้ามาเมืองไทยในปี 2014 พร้อมตัวถัง Carbon Fiber หรือ CFRP ( Carbon Fiber Reinforced Plastic ) ที่ใช้กันในรถแข่ง F1 เพื่อชดเชยให้กับน้ำหนักแบตเตอรี่ที่เป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทำให้ตัวถังของรถมีน้ำหนักเบาขึ้นมาก พร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่ BMW เอามาตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์

P90152432

P90091362_highRes

Carbon Fiber: Making Magic
LifeDrive Architecture คิดใหม่ ทำใหม่ การสร้างรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้า ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่ใช่เพียงเอารถยนต์ปัจจุบันมาดัดแปลง เพื่อใส่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเข้าไป

เชื่อว่านักขับหลายๆ คนคงได้ยินเรื่องตัวถังแบบ Carbon Fiber มาแล้ว BMW i มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า LifeDrive Architecture โดย LifeDrive  นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้างรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ และ Carbon Fiber คือส่วนหลักของระบบห้องโดยสารและห้องเครื่องของรถ BMW i นั่นเอง แน่นอนสถาปัตยกรรม LifeDrive นอกจากจะช่วย ลดน้ำหนักของรถอย่างมหาศาล ที่นอกจากจะทำให้น้ำหนักของรถเบาลงแล้วยังมีพื้นที่เหลือเพื่อให้สามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ทำให้เราสามารถใช้ระยะทางได้ยาวนานขึ้น ยังช่วยทำให้ศูนย์โน้มถ่วงของตัวรถอยู่ต่ำลงเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถอีกด้วย

BMW-Williams-F1-Car-2

P90080251

F22 Raptor jet photographed by Blair Bunting

ความจริงแล้ว เทคโนโลยี Carbon Fiber (Carbon Fiber Reinforced Polymer) ถูกพัฒนามานานแล้ว ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กกล้าที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ และยานพาหนะอื่นๆ ถึง 50 % เบากว่าอลูมิเนียมทั่วไปถึง 30% และมีความแข็งแรงมากกว่าอลูมิเนียมที่ใช้กับรถทั่วไปถึง 5 เท่า และ Carbon Fiber ใช้ง่ายกว่าในเรื่องการดูดซึมแรงกระแทก รวมถึงเทคโนโลยี Resin Transfer Molding ที่ BMW i ซีรีส์ใช้ ที่พัฒนามาจากระบบอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเลยทีเดียว โดยปัจจุบันเทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้ในเฉพาะผลิตภัณฑ์ซุปเปอร์ไฮเทค อย่าง เครื่องบินรบ Fighter Jet F22 Raptor, รถแข่ง F1 หรือ hypercars อย่าง Pagani Hyuara, Ferrari F12, Lamborghini Aventador

Ferrari-F12berlinetta

Lamborghini-Aventador

“Create clean cars, cleanly จริตแห่งศิลปินของ BMW ทำอะไรทำถึงที่สุด
BMW i series คือรถซึ่ง BMW สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ทั้งในเรื่องของดีไซน์หรือเทคโนโลยี ซึ่งเราคงได้เห็นมาแล้วจากเจ้า BMW i series ที่ได้เคยออกมาวิ่งบนถนน อย่าง BMW i3 และ BMW i8 หรือระบบ eDrive และ BMW Group เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีวัสดุ Carbon Fiber ไม่เพียงแต่คิดค้นประยุกต์ใช้งาน แต่คิดค้นวิธีผลิตใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้ราคาลดลงมาในระดับที่สามารถใช้ในเชิงอุตสาหกรรมได้ โดยไม่ใช่เฉพาะ hyper cars อีกต่อไป และคุณรู้ไหมว่า การผลิต BMW i series นั้นใช้พลังงานเพียง 50% และใช้น้ำน้อยกว่าการผลิตรถยนต์ปกติถึง 70% รวมถึงพลังงานไฟฟ้าที่นำมาใช้สำหรับผลิต BMW i series นั้นได้มาจากพลังงานลมซึ่งเป็นพลังงานธรรมชาติ ที่เรียกได้ว่าที่สุด ไม่ใช่แค่ concept model อีกต่อไป

BMW_i_Innovation-040

P90091822_highRes

eDrive: Electrifying Power.
History of i :  BMW ได้เริ่มโปรเจคเรื่องของพลังงานไฟฟ้ากับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมมานานแล้ว จนทุกวันนี้เราได้เห็น BMW i3 และ BMW i8 วิ่งกันเป็นเรื่องปกติ โดยการเริ่มต้นของ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้านั้นเริ่มในปี 1972 จากโปรเจคที่ชื่อว่า Orange 1602 จากการใช้แบตเตอรี่ 12 วัตต์จำนวน 12 ก้อนในระยะทาง 60 กิโลเมตร ต่อมาใน ปี 2009 กับโปรเจค MINI E1 และ BMW ActiveE ก่อนที่จะมาเป็น BMW i3 และ BMW i8 ในขณะที่ค่ายอื่นๆ ได้พัฒนาและออกรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาเป็นระยะๆ เช่นเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในรถ hypercars อย่าง LaFerrari, McLaren P1, Porsche 918  และ  eDrive หรือปลั๊กอิน ไฮบริด ซึ่งถูกเปิดตัวในปี 2013 โดยเริ่มใช้กับ BMW X5 ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinPower Turbo กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่เปิดตัวขายในตลาดโลกไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2015 ในชื่อ X5 xDrive40e ที่ยังคงความแรงและกำลังในการขับขี่ที่เป็นจุดเด่นของ BMW X5 เดิมไว้อย่าครบถ้วน แต่ทำให้มลพิษต่ำกว่าที่เคย

Dr. Norbert Reithofer, Chairman of the Board of Management of BMW AG, on his way to the electro-mobility-summit in Berlin (05/2010)

P0051277

P90108337

และในปี 2016 BMW นั้นก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีในตลาดรถยนต์ตัวใหม่คือ iPerformance ที่พัฒนามาจากเจ้า eDrive ที่ใช้ มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ในการขับเคลื่อน เหมือนกับตัว BMW i3 และ BMW i8 ที่จะถูกนำมาใช้ในรถตลาดอย่าง ซีรีส์ 3 และซีรีส์ 7 ที่ไม่ใช่แค่รถขับเคลื่อนไฟฟ้า แต่เป็นเสน่ห์ของ BMW กับความสนุกของการขับขี่นั้นยังอยู่ครบ ต้องบอกว่า นี่คือเทคโนโลยีจากรถ hypercars อย่าง LaFerrari, McLaren P1, Porsche 918 หรือไม่ว่าจะเป็น BMW i8 ที่พัฒนามาจาก i เป็น iPerformance. การถ่ายทอดเทคนิค ความรู้ และเทคโนโลยี จาก BMW i8 สู่รุ่นอย่าง X5 xDrive40e หรือ 330e แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพของ BMW ที่มากกว่าพลังงานจากธรรมชาติแล้ว ยังเพิ่มสมรรถนะของตัวรถเองอีกด้วย ซึ่งคงไม่มากเกินไปถ้าเราจะบอกว่านี่คือ Best of Both Worlds ที่เหนือกว่าเจ้าอื่นในตลาด

P90152437

P90089022

motiv9_hgru_ 006

BMW Thailand
Website : http://www.bmw.co.th
Facebook : www.facebook.com/BMW.Thailand