fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

รวม 5 Sneakers สุดคลาสสิตลอดกาล ที่ตั้งตามชื่อของเหล่านักกีฬาผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก
date : 16.พฤศจิกายน.2015 tag :

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-COVER

วันนี้เราขอไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก เพราะเราได้รวบรวม 5 สุดยอดนักกีฬาระดับโลกในตำนาน ที่มีรองเท้าสนีกเกอร์ตั้งตามชื่อของพวกเขา ซึ่งแต่ละคู่ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทุกยุคทุกสมัย นักกีฬาแต่ละนายดังต่อไปนี้ ไม่เพียงจะทรงอิทธิพลในสนามกีฬาเพียงเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของพวกเขายังได้มาเขย่าวงการแฟชั่นให้สั่นสะเทือนไปทั่วโลกอีกต่างหาก พวกเขาที่ว่านี้จะมีใครบ้าง จะเป็นชื่อเจ้าของสนีกเกอร์คู่โปรดของคุณหรือไม่ ตามไปอ่านพร้อมๆกันเลย 

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-01

Jack Purcell นักแบดมินตันชาวอังกฤษเจ้าของรองเท้าผ้าใบ Jack Purcell อันโด่งดัง

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-02

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-03

พระเอกในตำนาน James Dean กับ Converse Jack Purcell ของเขา

Jack Purcell

เริ่มกันที่รองเท้าผ้าใบสุดคลาสสิคตลอดกาล ที่มีชื่อเล่นว่า “smilies” หรือรอยยิ้ม อย่าง Jack Purcell ด้วยสไตล์ลีลาการเล่นที่แพรวพราว ชาญฉลาด และยากที่จะคาดเดา ทำให้ John Edward “Jack” Purcell นักแบดมินตันชาวแคนาดาผู้นี้สามารถครองตำแหน่งแชมป์ Canadian National Badminton Champion ถึงสองปีซ้อน (ค.ศ. 1929-1930) และต่อมาก็สามารถคว้าตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกในปี 1933 อย่างไร้คู่แข่ง จนเขาเกษียณจากการเป็นนักแบดมินตันในวัย 42 ปี ในปี 1945 และหันมาทำอาชีพเป็นโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นแทน ในช่วงที่อาชีพการเป็นนักกีฬาแบดมินตันของเขากำลังพีคสุดๆ Purcell ได้จับมือร่วมกับบริษัท B.F. Goodrich ของแคนาดา ออกแบบรองเท้าแบดมินตันที่ทำจากผ้าใบประกบพื้นยาง เพื่อเสริมการป้องกันและซัปพอร์ดเท้าของเหล่านักกีฬาแบดมินตันบนพื้นคอร์ต ก่อนที่อีกประมาณ 30 กว่าปีต่อมา ในช่วงยุค 70s แบรนด์ Converse ได้ซื้อต่อ และตั้งชื่อรองเท้าคู่นี้อย่างเป็นทางการว่า “Jack Purcell” หลอมรวมกีฬาและแฟชั่นเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ยิ่งเมื่อได้ไอคอนระดับตำนานอย่าง James Dean ผู้ชายคนแรกๆที่หยิบเอารองเท้า Jack Purcell มาใส่กับกางเกงชิโน่แบบดูเรียบง่าย แต่ดูดีเป็นบ้า ก็ยิ่งตอกย้ำสถานะรองเท้า Jack Purcell ให้เป็นสไตล์ไอเท็ม ที่เหล่าคนมากสไตล์ต้องมีเป็นเจ้าของ

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-04

(ซ้าย) ลีลาการเล่นบาสของ Chuck Taylor และรองเท้าคู่ใจ Converse All-Star

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-05

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-06

Chuck Taylor All-Stars ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความขบถ โดยเฉพาะกับเหล่าศิลปิน ตั้งแต่ Kurt Cobain แห่ง Nirvana มาจนถึงวง The Strokes

Chuck Taylor

รองเท้า Converse All-Star ถือเป็นรองเท้าแรกๆของโลกที่ถูกออกแบบมาเพื่อสวมใส่ลงสนามบาสเกตบอลโดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1917 โดยมีมิสเตอร์ “Chuck Taylor” นักบาสชาวอเมริกันเป็นแฟนพันธุ์แท้ เพราะเขาใส่รองเท้ารุ่นนี้ลงเล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียน Columbus High School ตั้งแต่ปีนั้นเลย ต่อมาในปี 1921 เขาก็ได้งานเป็นเซลล์ขายรองเท้าให้กับแบรนด์ Converse และภายในปีเดียว Converse ก็ได้ทำการปรับปุรงดีไซน์ของรองเท้ารุ่น All-Star ใหม่ จากคำแนะนำของ Chuck Taylor ให้เพิ่มความยืดหยุ่นและมีการซัปพอร์ทมากขึ้น รวมถึงติดแผ่นกลมตราดาวเพื่อป้องกันข้อเท้า สุดท้าย ในปี 1932 ชื่อของเขาก็ปรากฏอยู่บนแผ่นกลมดังกล่าว นับจากนั้นรองเท้ารุ่นนี้จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Chuck Taylor All-Stars” โดยในยุคแรกๆถือเป็นรองเท้าที่เหล่านักกีฬาบาสเกตบอลนิยมใส่ลงแข่งกันมาก และต่อมายังได้กลายเป็นรองเท้าประจำชาติของนักบาสเกตบอลอเมริกันในโอลิมปิก ปี 1936 อีกด้วย รองเท้ารุ่นนี้นับว่ามีวิวัฒนาการจากรองเท้ากีฬา มาเป็นรองเท้าแฟชั่น และไลฟ์สไตล์ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นยุค 70s เรื่อยมา รองเท้า Chuck Taylor All-Stars ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความขบถ แห่งความแบด สำหรับ subcultures หลากหลายแขนง โดยเฉพาะสำหรับเหล่าศิลปิน นักร้องวงต่างๆ ตั้งแต่ Kurt Cobain แห่ง Nirvana มาจนถึงหนุ่มๆวง The Strokes

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-07

Michael Jordan กับท่า dunk ในตำนาน

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-08

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-09

ด้วยความสปอร์ต ผสมกับความหรูหรา Air Jordan ได้กลายเป็นรองเท้าแฟชั่นที่สมัยนี้ผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ใส่ได้ เหมือน Kanye West และ Rihanna

Michael Jordan

เมื่อนึกถึง “Air Jordan” เชื่อว่าทุกคนก็จะต้องนึกถึงรองเท้าบาสในตำนานสุดคลาสสิค ที่ทางแบรนด์ Nike ทำขึ้นมาเพื่อ Michael Jordan นักบาสชาวอเมริกันตำนานแชมป์ NBA 6 สมัย ซึ่งถ้านับถึงตอนนี้ รองเท้ารุ่น Air Jordan นั้นถูกผลิตออกมาถึง 29 รุ่นด้วยกัน โดยรุ่นแรกอย่าง Air Jordan 1 ที่ออกแบบโดย Peter Moore นั้นถูกผลิตขึ้นเมื่อปี 1984 ในคู่สีแดงและดำ เพื่อให้แมทช์กับชุดยูนิฟอร์มของทีม Chicago Bulls ที่ Jordan เล่นให้อยู่ในตอนนั้น แต่ไม่นานต่อมารองเท้ารุ่นนี้ก็ได้ถูกพัฒนาให้ใช้สีแดง ขาว และดำ ซึ่ง Jordan เองได้ใช้ใส่ในการแข่งขันอยู่บ่อยๆในช่วงซีซั่น 1985-1986 และจากความประสบความสำเร็จและชื่อเสียงอันโด่งดังของ Air Jordan รุ่นแรก ต่อมาในปี 1986 ทาง Nike จึงตัดสินใจผลิต “The New Air Jordan” หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ “Air Jordan 2” สำหรับการแข่งขันบาสเก็ตบอลซีซั่นใหม่ ที่ถูกออกแบบโดย Peter Moore และ Bruce Kilgore ซึ่งความพิเศษของรองเท้า Air Jordan ต่างๆนั้นก็คือ เป็นรองเท้าที่ให้ความรู้สึกทั้งสปอร์ต และหรูหราแบบลักชัวรี่แก่ผู้สวมใส่ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรองเท้ารุ่นนี้ถึงได้รับความนิยมตั้งแต่ในสนามบาส ไปจนถึงงานเลี้ยงกึ่งทางการต่างๆ

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-10

Fred Perry เจ้าแห่งเทนนิสชาวอังกฤษ ผู้คว้าแชมป์ Wimbledon สองปีซ้อน ในยุค 1930s

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-11

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-12

นอกจากรองเท้าสนีกเกอร์ของแบรนด์ Fred Perry ที่ได้รับความนิยมสุดๆแล้ว เสื้อโปโลของแบรนด์นี้ก็ไม่น้อยหน้า ตั้งแต่ Blur หรือ Oasis ก็ยังเคยใส่มาแล้ว

Fred Perry

ต้องบอกเลยว่านาย Frederick John “Fred” Perry คนนี้ แกไม่ธรรมดาจริงๆ นอกจากจะเป็นนักเทนนิสชาวอังกฤษที่คว้าแชมป์ Wimbledon สองปีซ้อน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934-1936 และรางวัลทางด้านเทนนิสอีกนับไม่ถ้วนแล้ว แกยังเป็นเจ้าของแบรนด์สปอร์ตแวร์ของนักเทนนิส ที่ตอนหลังได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอีกด้วย เริ่มจากในปี ค.ศ. 1940 เมื่อเขาถูกทาบทามจาก Tibby Wegner นักฟุตบอลชาวออสเตรเลีย ให้ช่วยดัดแปลงเครื่องระงับกลิ่นกายสำหรับใส่ที่ข้อมือที่เขาได้คิดค้นขึ้น ซึ่ง Fred ก็ได้ช่วยดัดแปลงมันนิดๆหน่อยๆจนออกมาเป็น sweatband หรือปลอกข้อมือสำหรับซับเหงื่อ หลังจากนั้น Wegner ก็มีไอเดียอยากจะผลิตเสื้อกีฬาแขนสั้นสีขาวล้วนที่มีดีไซน์ และวัสดุคล้ายๆกับเสื้อโปโลของแบรนด์ Lacoste ซึ่งต่อมาเสื้อตัวดังกล่าวก็มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “the Fred Perry tennis shirt” โดยได้มีการเปิดตัวครั้งแรกในการแข่งขัน Wimbledon ปี 1952 และก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามนับจากนั้น โดยเฉพาะในช่วงปี 1950s ปลายๆ เมื่อหนุ่ม สาว ชาว Mod เริ่มนำเสื้อตัวดังกล่าวมามิกซ์แอนด์แมทช์ใส่เป็นชุดประจำวัน ทำให้แบรนด์ Fred Perry ก้าวเข้าสู่แบรนด์แฟชั่นไปโดยปริยาย อ้อ ส่วนรองเท้าของ Fred Perry ที่คลาสสิค และหล่อตลอดกาล ก็ต้องยกให้ Fred Perry “Spencer Leather” รองเท้าหนังพืนยาง ที่นำมาใส่กับชุดอะไรก็ดูดี

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-13

Stan Smith นักเทนนิสชาวอเมริกัน เจ้าของโฉมหน้าโลโก้บนลิ้นรองเท้า adidas Stan Smith

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-14

5-classic-sneakers-named-after-athletes-dooddot-15

Stan Smith สนีกเกอร์ที่คนสมัยนี้มีติดบ้านกันแทบทุกคน

Stan Smith

มาถึงรองเท้าสนีกเกอร์ที่ครองใจวัยรุ่นยุคนี้ได้อย่างอยู่หมัด กับ Adidas Stan Smith สำหรับใครที่ไม่ได้เป็นสาวกของรองเท้ารุ่นนี้ อาจจะไม่รู้ว่าหน้าลุงหนวดที่อยู่บนลิ้นรองเท้า คือ “Stan Smith” สุดยอดนักเทนนิสชาวอเมริกัน ผู้คว้าแชมป์ Grand Slam หลายรายการ ทั้ง U.S. Open และ Wimbledon จนได้ขึ้นเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกในปี ค.ศ. 1973 ด้วยความพีคสุดๆของลุงแกนี้เอง Adidas จึงดึงตัวไปเซ็นสัญญาเพื่อผลิตรองเท้าเทนนิส โดยเป็นรุ่นที่พัฒนามาจากรองเท้าเทนนิสหนังโมเดลแรกที่มีชื่อว่า “Adidas Robert Haillet” ซึ่งตั้งตามชื่อนักเทนนิสในตำนานชาวฝรั่งเศส ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นชื่อ Adidas Stan Smith ในภายหลัง ลักษณะเด่นของรองเท้ารุ่นนี้ที่เราเชื่อว่าทำให้แฟนๆเห็นแล้วต่างตกหลุมรัก ก็คือตัวรองเท้าที่ทำจากหนังที่มีผิวสัมผัสเรียบลื่น ดูมันวาวนิดๆ เจาะรูด้านข้างเป็นแถว 3 แถวแทนแถบสี 3 แถบ ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าสุดไอคอนิคของแบรนด์ Adidas และเพิ่มแผ่นโฟมสีเขียวด้านหลังเพื่อซัปพอร์ตเท้า ผลลัพธ์ที่ได้คือรองเท้าที่ทั้งสวมใส่สบาย และดูทันสมัย หนุ่ม สาว ยุคไหนหยิบมาใส่กับชุดสไตล์อะไรก็ดูเข้ากัน และไม่มีวันเชย เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังคิดจะสร้างคอลเล็คชั่นสนีกเกอร์ ควรมีรองเท้ารุ่นนี้ติดบ้านเอาไว้เลย

Writer: Thip S. Selley

RECOMMENDED CONTENT

26.มิถุนายน.2019

เรื่องราวอันเป็นตำนานของพิเทร่า™ จะถูกนำมาเล่าอีกครั้ง ผ่านบทเพลงรักพร้อมมิวสิควิดีโอ “Oh PITERA™” ที่กล่าวถึงผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์และขายดีที่สุดของเอสเค-ทู อย่างน้ำตบพิเทร่า ผ่านเสียงร้องและฝีมือการประพันธ์ของนักร้องหนุ่มที่กวาดหลายรางวัลทั่วโลกอย่าง จอห์น เลเจนด์